Headlines News :
Home » , , » คำแปลบทสัมภาษณ์ "Lacerta" ชาวโลกอีกเผ่าพันธุ์นึง ตอนที่ 2

คำแปลบทสัมภาษณ์ "Lacerta" ชาวโลกอีกเผ่าพันธุ์นึง ตอนที่ 2

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 | 19:09









ในการแปลครั้งนี้มีคำหลายคำที่ไม่รู้จะแปลยังไงฉะนั้นบางประโยคถ้ามันฟังแปลกๆ นั่นอาจจะเพราะเราแปลไม่ดีก็ได้ สำหรับคอมเม้นที่เราใช้จะเป็น [] ส่วนคอมเม้นของคนที่แปลเป็นภาษาอังกฤษจะเป็น {}



บทนำ ฉันขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าข้อความต่อไปนี้เป็นความจริงและไม่ใช่นิยาย มันได้ถูกเรียบเรียงจากเทปบันทึกเสียงตันฉบับสามม้วนที่ได้ถูกบันทึกเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2000 ระหว่างการสัมภาษณ์ครั้งที่สองกับชาวเลื้อยคลานที่รู้จักกันในนาม "Lacerta" ตามที่ Lacerta ร้องขอ, ข้อความต้นฉบับจำนวน 31 หน้าได้นำมาตรวจปรู๊ฟและบางคำถามและคำตอบได้เขียนใหม่ให้มันกระชับขึ้น บางคำถามที่เห็นนั้นได้ถูกทำให้สั้นลงหรือมีการปรับปรุง มันได้ถูกจัดการเอาข้อความหรือส่วนที่สำคัญออก เรื่องที่สัมภาษณ์กันนั้นบางเรื่องไม่ได้เขียนลงในนี้หรือบางเรื่องก็เขียนแต่ไม่สมบูรณ์เช่น การติดต่อกับบุคคลอื่น, การสาธิตปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ, ระบบสังคมของเผ่าพันธุ์เลื้อยคลานและ ข้อมูลฟิสิกส์และเทคโนโลยีของเอเลี่ยน เหตุผลของการเลื่อนวันและเวลาของการนัดเจอครั้งที่สองคือมีความเป็นไปได้ที่จะถูกแอบลอบสังเกตุของผู้คนของเราหลังจากที่ได้เผยแพร่บทความชิ้นแรก แม้ว่าจะทำตามคำแนะนำของ Lacerta แล้วที่ว่าไม่บอกสิ่งที่ทำให้รู้ว่าฉันเป็นใคร,แต่สองวันหลังจากที่เผยแพร่เอกสารออกไป,ก็มีเหตุการณ์ผิดปกติหลายอย่างเกิดขึ้น กรุณาอย่างคิดว่าฉันประสาทนะ; อย่างไรก็ตาม,ฉันเชื่อว่าการเผยแพร่เอกสารชิ้นนั้นได้ทำให้พวกข้าราชการและบางองค์กรมีความสนใจฉัน จนกระทั่งบัดนี้,ฉันที่ปกติแล้วจะพูดถึงคนที่เชื่อว่าถูกติดตามโดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้นเป็นตัวตลก แต่ตอนนี้ฉันเริ่มที่จะทบทวนความคิดของฉันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม มันเริ่มต้นที่โทรศัพท์ของฉันนั้นไม่สามารถใช้ได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อโทรศัพท์กลับมาใช้ได้อีกครั้ง,มันมีเสียงสะท้อนที่เงียบและเสียงคลิ้กแปลกๆ และเสียงหวือๆ[whirring]เมื่อฉันกำลังโทรศัพท์ ฉันไม่พบว่าโทรศัพท์มีปัญหาตรงไหน ในตอนกลางคืน,ข้อมูลที่สำคัญหายไปจากฮาร์ดดิสก์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของฉัน โปรแกรมที่ใช้ในการทดสอบฮาร์ดดิสก์แจ้งว่ามี "ส่วนที่เสีย" ตรงที่เก็บข้อมูลเกี่ยวรูปวาดและข้อความเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ครั้งแรกซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก "ส่วนที่เสีย" นั้นยังเกิดขึ้นตรงข้อมูลการวิจัยของฉันเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอีกด้วย(โชคดี,ที่ข้อมูลเหล่านั้นได้ถูกเก็บไว้ได้ฟรอปปี้ดิสก์ด้วย) มากไปกว่านั้นฉันได้ค้นพบว่ามีข้อมูลแอบซ่อนอยู่ในเครื่องอย่างเช่นไดเรคเทอรี่ที่ซ่อนอยู่ ชื่อของข้อมูลและไดเรคเทอรี่นั้นก็คือ "E72UJ" เพื่อนของฉันคนหนึ่ง,ผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์,ก็ไม่สามารถทำอะไรอย่างนี้ได้ และเมื่อฉันจะแสดงให้เขาดู,ไดเรคเทอรี่นั้นก็ได้หายไป เย็นวันหนึ่ง,ฉันพบว่าประตูอพาร์ทเมนต์ของฉันเปิดกว้างอยู่และทีวีเปิดค้างอยู่-และฉันค่อนข้างแน่ใจว่าฉันได้ปิดทีวีไปแล้ว มีรถมินิแวนที่มีตราสัญลักษณ์อังกฤษและรอยประทับของยุโรป-จอดอยู่ที่ที่จอดรถของซูปเปอร์มาร์เกตหน้าบ้านฉัน ฉันสังเกตว่ามีรถมินิแวนอย่างเดียวกันนี้ตามห่างๆ รถของฉันเวลาฉันขับรถ,แม้แต่เมื่อฉันได้ไปเมืองของ...ที่อยู่ห่างออกไป 65 กิโลเมตร เมื่อฉันกลับมา,รถก็จอดอยู่ที่อีกฝากของถนนอีกครั้ง ฉันไม่เคยเห็นใครเดินเข้าหรือเดินออกจากรถเลย ฉันไปเคาะที่ประตูหรือกระจกรถคันนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นสองอาทิตย์,รถมินิแวนคันนั้นก็ได้หายไป เมื่อฉันได้บอกกับ E.F. เป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้,เขาแนะนำว่าให้ฉันเปลี่ยนสถานที่และวันเวลาในการนัดเจอกันเพื่อเป็นการแน่ใจว่าพวกเราและ Lacerta จะได้ปลอดภัย ได้มีการนัดเจอกันในวันที่ 27 เมษายน 2000 ในที่ห่างไกลที่อื่น มันไม่มีสังเกตเห็น อีกครั้งหนึ่ง เรื่องทั้งหมดนี้มันดูแปลกและพิลึกพิลั่น,เหมือนเรื่องราวจากนิยายวิทยาศาสตร์ราคาถูกๆ อย่างไรก็ตาม,ฉันทำได้แค่บอกย้ำกับคนอ่านอีกครั้งว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงแท้ เชื่อคำของฉันหรือไม่เชื่อ สิ่งเหล่านี่ได้เกิดขึ้นแล้วและมันจะเกิดขึ้นต่อไป,ไม่ว่าคุณจะเชื่อมันหรือไม่ก็ตาม ถ้ามันไม่สายเกินไป อารยธรรมของพวกเราตกอยู่ในอันตราย Ole K.-3 พฤษภาคม 2000

















บทสัมภาษณ์(ฉบับย่อ) วันที่:27 เมษายน 2000 [คำอธิบายโดย Ole.K.: การพูดคุยเริ่มต้นด้วยการประเมินคำถามและข้อคิดเห็นที่ฉันได้มาจากผู้อ่านบทสัมภาษณ์ครั้งแรกโดยการแจกจ่ายของเพื่อนที่เชื่อถือได้ของฉัน ข้อคิดเห็นบางเรื่อง - ทั้งหมดมีมากกว่า 14 หน้า - มีความคำอธิบายที่เฉียบแหลมในการพูดถึงรากฐานของความเชื่อทางศาสนาและมีแนวโน้มที่ยินดีที่มีการติดต่อกับเผ่าพันธุ์เลื้อยคลาน บางความคิดเห็นนั้นก็มีวลีที่ยังติดกับความเชื่อเดิมๆ เช่นคำว่า "ทาสรับใช้ของนรก" หรือ "เผ่าพันธุ์ของปีศาจ" ฉันไม่ต้องการที่จะลงลึกในรายละเอียดมากกว่านี้เพราะว่าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับความคิดที่ผิดๆและรุนแรงมากไปกว่านี้] คำถาม: เมื่อคุณอ่านคอมเมนต์ที่เต็มไปด้วยความเชื่อทางศาสนาและยังดูรังเกียจพวกคุณ, คุณคิดและรู้สึกอย่างไร? ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับพวกคุณนั้นเกิดได้แต่ความคิดที่ไม่ยอมรับอย่างนี้ได้แค่อย่างเดียวหรือเปล่า? คำตอบ: นั่นมันทำให้คุณประหลาดใจเหรอที่ฉันไม่โมโหในเรื่องนี้? ฉันได้คาดไว้แล้วว่าจะต้องมีการตอบสนองอย่างนี้ คุณได้ถูกโปรแกรมที่จะปฏิเสธถึงเผ่าพันธุ์อื่นๆ โดยสิ้นเชิง(โดยเฉพาะพวกเผ่าพันธุ์ชาวสัตว์เลื้อยคลาน)ในกรณีของพวกคุณมันติดลึกไปยังจิตสำนึกของแต่ละคน เงื่อนไขนี้มันได้เริ่มแตกหน่อออกมาตั้งแต่รุ่นที่สามของพวกคุณและ,ถ้าพูดกันในทางชีวภาพแล้ว,มันส่งต่อไปในทางยีนจากรุ่นสู่รุ่น คำจำกัดความเกี่ยวกับพวกของฉันคือพลังแห่งความมืดซึ่งตั้งโดยพวก Illojiim ,ผู้ที่มองตัวเองว่าเล่นบทพลังแห่งแสงสว่าง-บางทีมันดูเหมือนขัดแย้งในตัวมันเอง,เพราะว่าพวกเผ่าพันธุ์ที่เหมือนมนุษย์เหล่านี้ไวต่อแสงอาทิตย์และไม่สามารถโดนแสงอาทิตย์ได้ คุณคงคิดว่าฉันคงแสดงท่าทีที่ไม่พอใจออกมา,ฉันเดาว่าฉันคงทำให้คุณผิดหวังหน่อยๆ ความคิดที่ไม่ถูกต้องอย่างนี้ไม่ใช่ความผิดของพวกคุณเลย;คุณแค่ทำตามส่วนที่ได้รับสืบทอดมากจากบรรพบุรุษ สิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดหวังมากกว่าก็คือว่าพวกคุณจำนวนมากยังไม่มีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวของตัวเอง[self-conscience]ที่แข็งแรงมากพอ,สิ่งนี้อาจจะช่วยคุณให้เอาชนะเงื่อนไขเหล่านั้น ตามที่ฉันได้พูดไปแล้ว,พวกเราได้มีการติดต่อโดยตรงเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมากับชนเผ่าพื้นเมืองของพวกคุณ;ชนเผ่าเหล่านี้พวกเขานั้นได้เอาชนะ "สิ่งที่ถูกโปรแกรมไว้ตั้งแต่อดีต" พวกเขาสามารถพบปะกับพวกเราโดยปราศจากความตึงเครียด, ความเกลียดและ การปฏิเสธ โดยสิ้นเชิง มันเห็นได้ชัดว่าพวกชาวที่เจริญแล้วของพวกคุณจำนวนมากไม่สามารถที่จะคิดได้ด้วยตัวของเขาเอง,แต่ยังคงถูกควบคุมโดยความคิดที่ถูกโปรแกรมเอาไว้ความเชื่อทางศาสนา(ที่ซึ่งยังมีสิ่งที่อยู่ในโปรแกรมของพวก Illojiim ปรากฏอยู่เป็นบางส่วน) ดังนั้นพวกคอมเมนต์เหล่านี้ทำให้ฉันขบขันมากกว่าทำให้โมโห มันทำให้ฉันมั่นใจมากขึ้นในข้อสมมติฐานเกี่ยวกับความคิดของพวกคุณ

















คำถาม: เพราะฉะนั้น,พวกคุณก็ไม่ใช่พวก "เผ่าพันธุ์ปีศาจ" อย่างที่ได้ถูกระบุไว้ตั้งแต่สมัยก่อน? คำตอบ: ฉันจะตอบยังไงดีล่ะ?พวกคุณนั้นยังคิดง่ายๆและยังมีหลักเกณฑ์ในการคิดที่ไม่เหมาะสมเอาซะเลย เอาง่ายๆเลย,มัน ไม่ มีเผ่าพันธุ์ไหนที่เป็นปีศาจโดยทั้งหมด แต่ว่ามันมีอยู่ในทุกที่ทั้งบนโลกและพวกเอเลี่ยนที่ดูว่าเป็นฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี;แม้กระทั่งพวกคนของพวกคุณด้วย;มันไม่มีอะไรเลยที่เป็นพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจไปซะหมด ความคิดนี้เป็นเรื่องพื้นๆ พวกคนของคุณถูกทำให้คิดอย่างนี้ตั้งแต่สมัยโบราณมาก-สำหรับพวกคุณคงเดาได้ว่าพวกที่สร้างคุณทำให้คุณเชื่ออย่างนี้ ในทุกๆ เผ่าพันธุ์ที่เรารู้จัก,แม้แต่เผ่าพันธุ์ที่พัฒนาไปไกลมากแล้ว,ต่างก็ประกอบด้วยผู้ที่มีจิตสำนักเป็นตัวของตัวเอง[individual consciousnesses] เยอะมาก(อย่างน้อยส่วนนึงของจิตสำนึกก็เป็นตัวของมันเอง,แม้ว่าทั้งหมดนั้นจะเชื่อมเข้ากับจิตสำนึกร่วม[คล้ายๆกับว่าเคยได้ยินทฤษฏีจิตวิทยาอันนึงว่าทุกคนบนโลกนี้มีจิตใต้สำนึกร่วมกันรู้สึกจะเป็นทฤษฏีจิตใต้สำนึกร่วมหรือไงนี่แหละ]);จิตวิญญาณ[spirit]ที่เป็นตัวของตัวเองเต็มที่สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าชีวิตของพวกเขานั้นอันไหนดีหรือเลว,ตามมาตรฐานของมนุษย์ มันขึ้นกับมุมมองของแต่ละบุคคลอีกด้วย;ผู้คนของคุณไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะตัดสินได้ว่าการกระทำของเผ่าพันธุ์ที่พัฒนาแล้วอย่างไหนดีหรือเลว,เพราะว่าคุณยืนอยู่ในมุมมองที่ต่ำกว่า,ซึ่งอยู่ในจุดที่ไม่สามารถประเมินอะไรได้ คำง่ายของคุณอย่างคำว่า "ดี" และ "เลว" นั้นเป็นตัวอย่างนึงของการโน้มเอียงในการกำหนดกฏเกณฑ์สิ่งต่างๆ; ในคำพูดของฉันมันมีหลายๆ ความคิดเห็น[concepts]สำหรับความหมายของการกระทำหลายๆ อย่างของแต่ละบุคคลในการเทียบกับบรรทัดฐานของสังคม แม้แต่พวกเอเลี่ยนที่ดูมีแนวโน้มที่จะเป็นศัตรูกับคุณก็ไม่ใช่ "เผ่าพันธุ์เป็นปีศาจ"[หรือว่าเป็นพวกที่เลวไปซะหมด] แม้ว่าพวกเขาจะทำไม่ดีกับพวกคุณก็ตาม พวกเขาทำอย่างนี้ก็เพราะว่ามีเหตุผลของเขาเองและอย่าเทียบกับพวกเขาว่าเป็นปีศาจ;วิธีของพวกคุณเป็นเส้นตรงและให้ความสำคัญว่าพวกเขาเป็นอะไร,แล้วคุณก็คิดอย่างนี้จนเป็นเรื่องปกติ ทัศนคติที่มีกับแต่ละเผ่าพันธุ์นั้นปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับว่าความคิดของแต่ละบุคคลโดยรวมแล้วเน้นหนักไปทางด้านไหน;ซึ่งก็แล้วแต่ว่าแต่ละเผ่าจะไปทางไหน การจำแนกว่าเป็นสิ่งที่ "ดี" หรือ "เลว" เป็นอะไรที่พื้นๆมาก,ก็มีหลายๆเผ่าพันธุ์ที่โต้แย้งกันในเรื่องนี้,พวกคุณก็เป็นหนึ่งในนั้น,และก็ยังรวมถึงการกระทำต่างๆ ที่ถือว่าเป็นการกระทำที่แย่ที่สุด ฉันไม่อยากพูดถึงเผ่าพันธุ์ของฉันในเรื่องนี้,เพราะว่ามันได้เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตซึ่งฉันไม่ค่อยอยากพูดถึงมันนัก,และก็ไม่อยากพูดถึงรายละเอียดด้วย แต่กรุณาจำคำพูดนี้:มันไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนที่ดีไปทั้งหมดและเลวไปทั้งหมด,เพราะว่าแต่ละเผ่าพันธุ์และทุกๆเผ่าพันธุ์ก็ประกอบไปด้วยบุคคลต่างๆที่มีความประพฤติแตกต่างกันไป























คำถาม: ในพวกจดหมายที่ฉันได้รับมามันมันจะมีคำถามว่า,คุณควรจะอธิบายถึงลงไปในรายละเอียดของเรื่องฟิสิกส์ที่ก้าวหน้าที่คุณพูดถึงในคราวก่อน หลายๆ คนบอกว่า,คำพูดของคุณดูไม่หนักแน่น ยกตัวอย่างเช่น,UFOs ทำงานอย่างไร,มันบินได้อย่างไร,มันมีกระบวนการอย่างไรถึงเหาะได้? คำตอบ: ฉันควรจะอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้พวกเขารู้ใช่ไหม? มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ ให้เวลาฉันคิดหน่อย ฉันจะพยายามใช้คำง่ายๆ ที่จะอธิบายให้คุณเข้าใจถึงหลักการพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ลองดูแล้วกัน:คุณต้องเข้าใจกระจ่างถึงความจริงพื้นฐานบางอย่างก่อน สิ่งแรกนั้นคุณต้องแบ่ง[divide up]มโนคติเกี่ยวกับโลกทางกายภาพเพราะว่าวัตถุแต่ละชิ้นนั้นประกอบไปด้วยหลายๆ ชั้น;จะอธิบายให้มันเข้าใจง่ายๆว่ามันประกอบด้วยภาพลวง(illsuion)ของวัตถุและ sphere of influence[ทรงกลมแห่งอิทธิพล??]{หมายเหตุของคนแปล[จากภาษาสวีเดนเป็นอังกฤษล่ะมั้ง]:ยังไม่มีการบัญญัติความหมายของคำว่า 'Feldraum';"Feld" หมายความว่า "field","Raum" หมายความว่า "space,room,expanse" ดังนั้นฉันจึงแปลมาเป็นคำว่า "sphere fo influence"} เงี่อนไขทางฟิสิกส์จะสามารถเกี่ยวข้องกับทางวัตถุ{สิ่งที่เป็น'รูปธรรม'}ได้อย่างเดียวเท่านั้น,ระหว่างที่เงื่อนไขอย่างอื่นและซับซ้อนมากกว่าจะสามารถเกี่ยวข้องกับ sphere of influence ของวัตถุได้ ความรู้ทางฟิสิกส์ของพวกคุณตั้งอยู่บนพื้นฐานของภาพลวง[illusion]ของวัตถุอย่างพื้นๆ ภาพลวงเหล่านี้ได้ถูกแบ่งออกเป็นสถานะพื้นฐานสามสถานะ มันมีสถานะที่สี่และเป็นสถานะที่สำคัญมากอยู่ด้วย,ซึ่งคุณได้ให้ความสำคัญกับมันมากหรือน้อยก็แล้วแต่คุณ;มันเป็นขอบเขตของ sphere of influence หรือ พลาสม่า สำหรับคุณ,ทฤษฎีสำหรับการควบคุมการเปลี่ยนรูปหรือการทำให้ความถี่ของวัสถุสูงขึ้นและการที่สถานะที่สี่ของวัตถุแต่ละอันมารวมกันได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายเลย,และมันเกิดขึ้นที่ระดับพื้นฐานของวัตถุ(สสารนั้นมีสถานะอยู่ 5 สถานะ,แต่สถานะช่วงก่อนที่จะเป็นพลาสม่า[post-plasma] เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันยาว,และมันจะทำให้คุณสับสนซะเปล่าๆ นอกจากนั้น,มันไม่มีความจำเป็นในการเข้าใจทฤษฏีพื้นฐาน;ที่มันเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ธรรมชาติที่คุณบอกว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ) เอาล่ะ,กลับมาเรื่องที่สำคัญ:พลาสม่า...แต่พลาสม่าที่พูดถึงนี้ไม่ใช่พลาสม่าที่มีความหมายแค่ว่า "ก๊าซร้อน" - คำจำกัดความของพลาสม่าของพวกคุณเป็นอะไรที่พื้นๆมาก - แต่ฉันหมายความไปมากกว่านั้นฉันหมายถึงสถานะของวัตถุที่มี aggregate[ซึ่งรวมกัน?พลวัต?]สูงมาก สถานะพลาสม่าของวัตถุเป็นรูปร่างของวัตถุที่พิเศษที่ซึ่งอยู่ระหว่างโลกกายภาพกับ sphere of influence เพราะว่ามันไม่มีมวลและมีได้หลายรูปแบบของการดึงพลังงานมารวมกันเมื่อวัตถุถูก "pushed or shoved" {คำอธิบาย:ไม่มีคำคธิบายที่ดีกว่าในการใช้คำว่า "pushed, shoved"ที่ใช้ในบทความนี้ คุณคงต้องเดาความหมายเอาเอง}









สถานะที่สี่ของสสารนั้นเป็นสถานะที่สำคัญมากสำหรับสถานะภาพทางฟิสิกส์ที่ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้อย่างเช่น...ฉันจะอธิบายยังไงดีล่ะ...สร้างแรงต่อต้านแรงโน้มถ่วง[antigravity](นั่นเป็นคำของมนุษย์ที่ดูแปลกและความหมายไม่ถูกต้อง,แต่เพื่อให้คุณเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้) โดยเฉพาะ,ในโลกทางกายภาพ,มันไม่มีแรง bipolar[แปลตรงตัวแปลว่ามีสองขั้ว] แต่มันเป็น "observer depondent reflective behavior[พฤติกรรมสะท้อนกลับที่ขึ้นตรงกับผู้สังเกต?]" ของแรงชนิดเดียวกัน,ในแรงจำนวนมากมายที่ต่างระดับกัน การใส่แรงต่อต้านแรงโน้มถ่วงหรือการเปลี่ยนตำแหน่ง[displacement]ของคุณสมบัติเฉพาะตัวของแรงโน้มถ่วงเข้าไปในสถานะที่สี่ของวัตถุ,ทำให้เกิด,ตัวอย่างเช่น ทำให้วัตถุที่เห็นนั้นลอยตัวขึ้น ; วิธีนี้นำเอาไปใช้โดยพวกเราและโดยเอเลี่ยนในการขับเคลื่อน UFOs คนของคุณมีความรู้แค่พื้นฐานนิดหน่อยในการดำเนินการโปรเจคลับทางการทหาร,แต่เพราะว่าคุณได้ขโมยเทคโนโลยีนี้มา(และมันตั้งใจที่จะส่งมายังคุณแบบผิดๆโดยเอเลี่ยน),ดังนั้นคุณจึงขาดความเข้าใจในเรื่องฟิสิกส์ที่เป็นของจริง;ผลที่ตามมา,ทำให้คุณติดอยู่กับปัญหาเรื่องการไม่เสถียรและการแผ่รังสีของ "UFOs" ของคุณ ตามข้อมูลที่ฉันมี,มีคนของคุณตายเป็นจำนวนมากเพราะว่าโดนรังสีและสนามพลังที่เข้มข้นรบกวนการทำงานของร่างกาย คุณเห็นด้วยมั้ย,นี่เป็นตัวอย่างอันของคำถามที่ว่า"ดี"หรือ"เลว"? ผู้คนของคุณเล่นกับสนามพลังที่พวกคุณไม่รู้จักและยังจะยอมที่จะให้เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของคุณตาย,สำหรับเหตุผลที่ยิ่งใหญ่,ที่ชื่อว่า,เพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของพวกคุณ,ซึ่งผลลัพธ์ของเทคโนโลยีเหล่านี้ก็จะถูกนำไปใช้ในสงคราม,ฯลฯ,สำหรับด้านที่ไม่ดี ตอนนี้ฉันก็ได้บอกไปมากกว่าเรื่องที่คุณถามมาถึงเรื่องที่มีพวกคุณน้อยคนที่รู้เกี่ยวกับโปรเจคของเอเลี่ยนเหล่านี้ซึ่งเป็น - ตามคำพูดของคุณ - เป็นความลับสุดยอด พวกเอเลี่ยนเหล่านั้นได้บอกเลขอะตอมของธาตุที่สูงซึ่งทำให้เงื่อนไขมันเพิ่มขึ้น,แต่ว่ามันก็ถูกแต่บางส่วน ถ้าคุณไม่สามารถหลักเลี่ยงพลังงานเหล่านี้ได้,คุณก็ไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่พวกคุณนั้นยังโง่และก็ยังไปยุ่งกับพลังงานที่ยังไม่รู้จัก เมื่อไหร่พวกคุณจะเปลี่ยนแปลงซักทีเนี่ย?







คุณจำเรื่องการรวมตัวของทองแดงได้มั้ย?ในสนามพลังที่ปั่นป่วน[fluctuation] ที่การเหนี่ยวนำสนามการแผ่รังสี[radiation field] ที่ถูกองศา,ทองแดงจะรวมตัวเข้ากับธาตุอื่นๆ(ภาพลวงของวัตถุจะรวมเข้าด้วยกัน,สนามพลังของ sphere of influence จะซ้อนทับซึ่งกันและกัน,แต่ว่าพลังงานหลักจะสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการนั้นและดูเหมือนว่าเป็นคุณสมบัติของ quasi-bipolar[quasi หมายความว่า ดูเหมือน]) ผลของการรวมกันนี้และของสนามพลังทำให้ไม่เสถียรในสภาพปกติสำหรับสสารและไม่สามารถทำไปใช้งานได้ ผลลัพธ์ของมัน,ทำให้ช่วงสเปคตรัมทั้งช่วงเลื่อนขึ้นไปอยู่ในขั้นที่สูงขึ้นกลายเป็นสภาพที่คล้ายๆ พลาสม่า,ในการที่สเปคตรัมทั้งช่วงเลื่อนไปยังขั้ว[pole]ด้านตรงข้าม- คำที่ใช้ 'ไม่' ถูกต้อง -ของสนามพลัง[force field] และมันคล้ายคลึงกับการเลื่อนระดับ[shift]ที่มาจากแรงดึงดูดโลก การเลื่อนระดับนี้ทำให้เกิด "การเอียง" ของ repulsing[การขับไล่?]ของแรง quasi-bipolar, ที่ซึ่งตอนนี้ไม่ไหลอยู่ข้างในสนามพลังไล่,แต่บางส่วนยังไหลออกมาสู่ข้างนอกสนามพลัง ผลของมันก็คือทำให้เกิดการแยกออกเป็นชั้นๆระหว่างสนามพลังที่ซึ่งทำให้ยุ่งยากที่จะปรับเปลี่ยนภายในขอบเขตทางเทคนิคในความสัมพันธ์ของคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันเอง มันยังทำให้นำมาใช้ได้หลากหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ทำให้วัตถุสามารถลอยขึ้นมาได้ มันยังสามารถใส่ความสามารถในการพรางตัวในพื้นที่ที่การแผ่แม่เหล็กไฟฟ้าไปถึงโดยการปรับเปลี่ยนความถี่- โดยแท้จริงแล้วมีขอบเขตจำกัด -และสิ่งอื่นๆ ด้วย คุณเข้าใจเรื่อง "quantum tunnel effect" ที่วิทยาศาสตร์ของคุณกล่าวไว้ดีไหม? แม้แต่ความกว้างของช่วงคลื่นในหมู่สสารจะเท่ากันก็ยังสามารถได้รับผลของสนามพลังเหล่านั้นแบบใดแบบหนึ่งถ้าความถี่และและระยะทางจาก plane[หน้าตัด?]ของสนามพลังงานสูงเพียงพอ โชคไม่ดี,ทุกๆ สิ่งที่ฉันได้อธิบายด้วยคำพูดของคุณนั้นอธิบายออกมาด้วยคำที่พื้นๆ ฉันกลัวว่า มันฟังดูแปลกๆ และไม่ทำให้คุณเข้าใจมันได้,แต่บางทีคำอธิบายอย่างง่ายๆ นี่นั้นบางส่วนจะสามารถทำให้คุณเข้าใจได้ แต่ขอพูดอีกครั้ง,อาจจะไม่







คำถาม: มันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพลังที่เหนือธรรมชาติ,อย่างเช่นพลังแห่งความคิด[พลังจิต]ของคุณ ไหม? คำตอบ: มีสิ ก่อนที่จะอธิบายให้ฟัง,คุณต้องรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของ sphere of influence{Feldraum} ฉันจะลองอธิบายดู...ขอเวลาคิดสักพัก...คุณจะต้องแยกความคิดของคุณออกจากภาพลวงของวัตถุที่คุณเห็นว่าเป็นธรรมชาติของจักรวาล,มันเป็นเหมือนแค่ผิวหน้า จินตนาการว่าตัวคุณและวัตถุต่างๆ ที่อยู่ตรงนี้-คุณ, โต๊ะตัวนี้, ดินสอด้ามนี้, อุปกรณ์ทางเทคนิคนี้, กระดาษแผ่นนี้- มันไม่มีอยู่จริง, แต่มันเป็นแค่ผลของการเปลี่ยนไปมาอย่างคงที่ของพลังงาน[oscillation] และความเข้มข้นของพลังงาน วัตถุทุกๆ ขิ้นที่คุณเห็น, สัตว์ทุกๆ ตัว, ดาวเคราะห์และดวงดาวทุกดวงในจักรวาล,ต่างก็มี "information-energy equivalent[การเท่ากันของพลังงานที่เป็นข้อมูล?]" ใน sphere of influence ที่อยู่ในพลังงานหลัก-ระดับที่ปกติ{ของสิ่งของ}เหมือนกัน ซึ่งระดับพลังงานนี้ไม่มีแค่ระดับเดียว,แต่มีหลายๆ ระดับ ครั้งที่แล้ว,ฉันได้พูดถึงเผ่าพันธุ์ที่มีการพัฒนาสูงมากที่ซึ่งสามารถเปลี่ยนระดับ(ที่ซึ่งบางทีทำให้เป็นไปโดยสิ้นเชิง,จาก bubbles ที่เป็นส่วนหนึ่งและทุกๆส่อนของทุกระดับชั้น) คุณเข้าใจหรือเปล่า? มิติ,ตามที่คุณเรียกอย่างนั้น,เป็นส่วนนึงของ bubble ที่อยู่โดดๆ, bubbles หรือ foam[ฟอง] ของจักรวาลเป็นส่วนนึงของระดับๆนึง,และมีหลายระดับอยู่ใน sphere of influence, โดยที่ sphere of influence ทำหน้าที่เหมือนส่วนบรรจุข้อมูลทางกายภาพที่มีขนาดเป็นอนันต์; มันประกอบด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล-ข้อมูลนั้นก็คือระดับชั้นของพลังงานและระดับปกติ มันมีระดับพลังงานหลายชั้นมากใน sphere of influence; ที่เหมือนกัน, แต่ว่าต่างกันตรงสภาวะทางพลังงานของพวกมัน ฉันคิดว่าคุณคงสับสนแล้วล่ะตอนนี้ ฉันคิดว่าควรจะหยุดอธิบายแต่เพียงเท่านี้









คำถาม: ไม่,กรุณาเล่าต่อเถอะ ทำอย่างไรถึงจะให้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างนี้ คำตอบ: งั้น, ได้จะอธิบายต่อเลยละกัน ขอบอกอีกครั้งนะว่าที่อธิบายมานี้มันไม่ถูกต้องนักหรอกแต่ก็จะอธิบายไปอย่างนี้ต่อ สสารที่จับต้องได้นั้นที่อยู่ในด้านนี้เป็นเงาสะท้อนใน sphere of influence{Fildraum} ของสนามพลังในชั้น[layers]ที่จำเพาะ ชั้นเหล่านี้บรรจุข้อมูล,อย่างเช่น, เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของวัตถุหรือระดับความถี่ คุณรู้จักทฤษฏีของมนุษย์เรื่อง "morphogenetic field" ไหม? ชั้นหนึ่งชั้นสามารถที่จะถูกออกแบบมา[designated]ได้หลายแบบ ตอนนี้ยังเรื่องเกี่ยวกับชั้นอื่นๆ ที่อยู่คั่นกลางแต่โชคไม่ดีที่มีความแนวความคิดของมนุษย์กล่าวถึง, เพราะว่าทฤษฏีนี้ไม่ธรรมดาในความคิดมนุษย์ เรียกมันว่า "para-layer" ในระดับชั้นนี้จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับทุกๆ สิ่งที่คุณเรียกว่า PSI[พลังจิต] และสิ่งที่เหนือธรรมชาติและสิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตทางวิทยาศาสตร์ที่พื้นๆ ของพวกคุณ ชั้น para-layer นี้จะอยู่ระหว่างชั้นของวัตถุและชั้น morphogenetic ของสนามพลังใน sphere of influence มันสามารถอยู่รวมกันได้กับทั้งคู่ ยกตัวอย่างเช่นร่างกายของคุณเป็นเงาสะท้อนของสนามพลังใน sphere of influence{Feldraum} มันไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีพวกสิ่งที่ไม่มองเห็นอย่างเช่น เนื้อ, เลือด, กระดูก อยู่ด้วย ในรูปของวัตถุหรืออะตอม, ไม่เพียงเท่านั้น การมีอยู่นั้นเกิดขึ้นทั้งสองด้าน บางชั้น[ซึ่งมีหลายชั้น]ในสนามพลังงานบรรจุข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับส่วนที่เป็นของแข็งของร่างกายคุณและความถี่ของมัน, ในขณะที่ชั้นอื่นๆ {บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับ} spirit ของคุณ, จิตสำนึกของคุณ, หรือถ้าพูดในมุมมองทางศาสนาของมนุษย์, วิญญาณ[soul]ของคุณ ความรู้สึกตัว[awareness] หรือ จิตสำนึก[consciousness] ในกรณีนี้เป็นแหล่งกำเนิด[matrix] พลังงานพื้นฐาน ที่ถูกแบ่งย่อยไปในชั้นต่างๆ ของสนามพลังใน sphere of influence - ไม่มาก ไม่น้อย ความตื่นตัว[awareness]ที่แท้จริงสามารถมีอยู่ที่นี่ด้วยในด้านของสสาร แต่อยู่ในรูปของ post-plasme{สถานะที่ห้าของสสาร} ด้วยความรู้ทางฟิสิกส์ที่จำเป็นและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง, แหล่งกำเนิดจิตสำนึก/ความตื่นตัว[consciousness/awareness matrix], หรือว่าวิญญาณ[soul], สามารถที่จะแยกออกจากสนามพลังของมันเองได้ มันสามารถ,ถึงแม้ว่าจะแยกออกมาแล้ว,ที่จะอยู่ต่อไปได้ในโดยตัวของมันเองในเวลาที่เหมาะสม นั่นคือเหตุการณ์แปลกๆที่เรียกว่า "soul robbing[การแย่งวิญญาณ]" แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด,พวกเรากำลังพูดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์กันนะ,ไม่ได้พูดถึงเวทมนตร์หรือว่าพลังในด้านมืด [คำอธิบายโดย Ole.k.:"การแย่งวิญญาณ"นั้นหมายถึงส่วนนึงของข้อคิดเห็นที่มีแรงบันดาลใจมาจากพื้นฐานทางศาสนาที่ส่งมาติดต่อกับพวกสัตว์เลื้อยคลาน ]









กลับไปยังคำถามที่คุณถามมา:สัตว์ที่มีพลังทางจิตมากสามารถที่จะส่งผลโดยตรงต่อ para-layer ของสนามพลังส่วน จิตสำนึก/ความรู้สึกตัว[consciousness/awareness] ของพวกมัน ตอนนี้ชั้นนี้ไม่ได้อยู่แยกกับชั้นอื่นโดดๆอีกแล้ว แต่ว่าจะเป็นส่วนนึงของชั้นข้อมูลทั่วไป-คุณควรจะเรียกว่ามันอยู่ในสัมผัสที่ธรรมดา[prosaic]ของกลุ่มวิญญาณ- ที่มันเชื่อมต่อเข้ากับสสารที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตและจิตสำนึก[consciousness]ทั้งหมดที่มีอยู่ในชั้นระดับพลังงานหลัก สาเหตุทางชีวภาพสำหรับความสามารถเหล่านี้ที่อยู่ด้านของสสาร,ในต่อมพิตุอิตารี่[pituiary], ที่ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่สร้างความถี่ที่จะควบคุม sphere of influence{Feldraum} แม้แต่พวกคุณในทางทฤษฏีแล้วสามารถทำได้;อย่างไรก็ตามคุณยังถูกปิดกั้นในสิ่งเหล่านี้ ตามที่ฉันได้เคยพูดไว้แล้ว para-level นั้นสามารถติดต่อกับจิต[mind] ได้ดีพอๆ กับสสาร ยกตัวอย่างเช่น, ถ้าฉันตัดสินใจที่จะใช้พลังจิตของฉันในการที่จะเคลื่อนไหวดินสอแท่งนี้,มันอธิบายได้ว่า,ฉันต้องจินตนาการในความคิดของฉันว่า consciousness/awareness ของฉันขยายยืดออก/ขยายความถี่[expand/amplify] ในด้านของสสารในรูปของ post-plasme ไปยังดินสอ ในเวลาเดียวกันมันจะทำให้ไปกระตุ้น sphere of influence ให้ส่งคำสั่งจากระดับชั้น consciousness/awareness ไปยังระดับชั้น para-layer โดยอัตโนมัติเพื่อไปปฏิสัมพันธ์กับระดับชั้นสสารของดินสอ เพราะว่า para-layer นั้นไม่ถูกจำกัดอยู่กับร่างกาย,มันจึงไม่เป็นปัญหาแม้ว่าดินสอจะอยู่ไกล,มันก็ไปปฏิสัมพันธ์ได้อย่างแม่นยำ,แม้ว่าฉันจะไม่ได้ขยับร่างกายเลย ทางนี้ส่ง post-plasma ไปแล้วไปปฏิสัมพันธ์กับ para-layer ของดินสอ, ทำให้ฉันสามารถควบคุมดินสอได้และปฏิสัมพันธ์นี้ส่งผลกับส่วนที่เป็นสสารของดินสอถึงจุดที่ว่าสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของมันได้,นี่คือตัวอย่าง [คำอธิบายโดย Ole.k.:ฉันรับรองว่าดินสอได้ลอยขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 20 ซม.และตกกลับลงมาที่โต๊ะ เสียงกระแทกโต๊ะนั้นได้ยินอย่างชัดเจนในเทปที่บันทึกไว้ ไม่มีใครไปสัมผัสกับดินสอแท่งนั้นแน่]







คำถาม: มันน่าหลงไหลมาก มันสามารถใช้ทำอะไรอย่างอื่นได้อีก? คำตอบ: ทุกอย่าง ทุกๆสิ่งที่คุณเรียกว่าเหนือธรรมชาติ อย่างที่ได้พูดไป,ระดับชั้นพิเศษที่อยู่ใน sphere of influence{Feldraum} ระหว่างระดับชั้นข้อมูลของ morphogenetic และระดับชั้นของสสาร, และสามารถที่จะปฏิสัมพันธ์กันได้ทั้งสองด้าน มันพูดได้ว่า,มันสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสสารที่เป็นของแข็งได้ดีพอๆกับทางด้านความจิตซึ่งที่ให้สามารถทำได้ทุกๆอย่าง อย่างเช่นที่เรียกว่าเทเลคิเนซิสและเทเลพาธี "connection absorption[การดูดซืมการติดต่อ?]" กับ consciousness/awareness อันอื่นๆ ใช้วิธีที่แตกต่างจากการติดต่อกับสสาร,เพราะว่า สนามพลัง consciousness/awareness อันอื่นๆ ก็มีระดับความถี่ต่างกันไป consciousness/awareness ที่เป็นตัวส่งหรือ consciousness/awareness ที่เป็นตัวรับจะต้องปรับตัวมันเองให้เข้ากับจิตอันอื่นก่อน,ก่อนที่การติดต่อถึงจะทำได้ เผ่าพันธุ์ส่วนมากมีโอกาสที่จะปิดกั้นไม่ให้พวกเอเลี่ยนติดต่อ/แทรกซึม[access]เข้ามา,แต่ว่าพวกของคุณไม่มีความสามารถนี้ มันเป็นความจริงว่า:เผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถทางจิตสูง,ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง consciousness/awareness ของเค้าและ แทรกซึม[access]เข้ามา ความสามารถของพวกเราไม่มีกำลังสูงพอ; ดังนั้นพวกเราตอนแรกพวกเราต้องเรียนรู้ที่จะจิตของพวกเอเลี่ยนเพื่อที่จะใช้วิธีการพรางตัว[mimicry] ยกตัวอย่างเช่นการพรางตัว[mimicry] ทำได้ง่ายมากสำหรับจิตพวกคุณเพราะว่าพวกคุณมีสวิตซ์ เปิด/ปิต อยู่แล้ว ความสามารถเหล่านี้บางส่วนสามารถที่สืบทอดไปได้; แม่กับลูกของพวกของฉันก็เป็นตัวอย่างนึงที่ว่าติดต่อกันได้ในช่วงเดือนแรก- บางกรณีสามารถทำได้แม้ว่ายังอยู่ในไข่ในครรภ์ของแม่ -โดยวิธีเทเลพาธี ในการที่จะจูงจิตของพวกคุณนั้น,พวกเราต้องการเวลาในการฝึก,แม้ว่าระดับจิตของพวกคุณจะพื้นๆ ดังนั้นมันจึงมีการห้าม,ยกตัวอย่างเช่น,สำหรับผู้ใหญ่ในพวกของฉันที่ยังไม่ผ่านช่วง "Age of Enlightenment[ช่วงอายุในการบรรลุ]" ขึ้นมายังผิวโลก(ในกรณีนี้รวมถึงความสามารถทางกายภาพด้วย) ในกรณีที่ยังฝึกไม่สมบูรณ์,อันตรายที่จะเกิดขึ้นเมื่อพวกคุณมาพบเข้าก็จะเกิดขึ้นได้สูง และมันยังมีการสอนลับๆจำนวนมากที่สอนและฝึกฝนความสามารถเหล่านี้,แต่ฉันก็ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้









แม้ว่าจิตของพวกเอเลี่ยนจะสามารถจูงจิตได้, มันก็มีขั้นตอนที่จะทำสิ่งเหล่านั้นกับเผ่าพันธุ์เอเลี่ยนกลุ่มอื่นๆ เริ่มแรกสุดเลยต้องรู้สึกถึงความถี่[oscillation]ของพวกเอเลี่ยนก่อน,สิ่งนี้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติโดยสมอง เช่น ความถี่[oscillation]ในย่านๆนึง,คลื่น quasi-electrical ในสมองในระดับต่างๆ ในที่ช่องว่างปกติ{ในที่ที่สสารดำรงอยู่} กระบวนการนี้มันไม่ยาก หลังจากนั้นก็จะตรวจสอบ consciousness/awareness ของสิ่งๆนั้นโดยจิตโดยผ่านทาง post-plasma, ส่วนของ sphere of influence{Feldraum} จะทำปฏิสัมพันธ์และเชื่อมต่อกันในขั้นตอนนี้ ตอนนี้คนๆ นั้นก็สามารถที่จะอ่านข้อมูลในขั้นตอนแรกและบันทึกข้อมูลที่อยากบันทึกลงไปให้อีกฝ่ายกลับไปในขั้นตอนที่สองในตำแหน่งที่ถูกต้อง คุณได้ถามฉันในคราวที่แล้วว่าพวกคุณนั้นมีโอกาสที่จะป้องกันตัวคุณเองจากการจูงจิตมั้ย,และฉันก็ได้บอกไปว่าต้องตื่นตัวและทำจิตให้เป็นความสมาธิเท่านั้นถึงจะสามารถป้องกันได้ ในสภาวะนั้นความถี่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันและทำให้การแทรกซึม[access]ยากที่จะทำได้ มากกว่านั้นมันยังทำให้ผู้ที่ส่งกระแสจิตมาได้รับความเจ็บปวดด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณหลับตา,สนามพลังจะ "flat[เรียบ]", และพวกเอเลี่ยนจะสามารถแทรกเข้ามา{ในจิต}ได้อย่างทันทีและโดยปราศจากการต่อต้าน ในกรณีของพวกคุณโอกาสที่จะป้องกันพวกเอเลี่ยนที่มีการพัฒนาสูงส่งกระแสจิตแทรกเข้ามานั้น,ไม่มีเลย พวกเขาสามารถที่จะปรับเปลี่ยนความถี่ได้เร็วกว่าพวกคุณ ฉันได้สาธิตให้คุณดูแล้วในครั้งก่อนแต่รู้สึกคุณจะรู้สึกหวาดกลัวและสับสน,ดังนั้นพวกเราจึงจบลงตรงคำอธิบายตรงนั้น







เรื่องที่ฉันอธิบายให้คุณฟังนี้บางทีคุณอาจจะรู้สึกว่ามันเหมือน- ตามคำพูดของคุณ - เรื่องที่ลึกลับหรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ เหตุผลที่คุณรู้สึกอย่างนี้ก็เพราะว่าคุณขาดความเข้าใจพื้นฐานในการมองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เหตุการณ์เหนือธรรมชาติทุกอย่างนั้นทุกเรื่องมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น ไม่มีเรื่องไหนซักเรื่องเลยที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ พวกเราเติบโตมาด้วยความรู้เหล่านี้, พวกเรารู้ว่าพวกเราสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรและมันเกิดจากอะไร พวกเรามีทฤษฏีและมีการฝึกฝน แต่พวกคุณไม่มี ดังนั้นพวกคุณจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกนี้-คุณเห็นแค่ด้านๆ เดียว แต่ไม่ได้เห็นอีกด้านนึง(ฉันหมายความว่าทั้งสองด้านที่เป็นด้านกายภาพเหมือนกัน) เหตุการณ์เหนือธรรมชาติทุกอย่างมันเกิดขึ้นสองด้านควบคู่กันไป,มันเกิดขึ้นในที่ว่างที่วัตถุอยู่และเกิดขึ้นใน sphere of influence{Feldraum} ด้วย ในการอธิบายมันก็อธิบายได้ในรูปแบบของตัวอักษรเท่านั้น,เพราะว่า sphere of influence เป็นสิ่งพื้นฐาน ฉันคงจะจบการอธิบายคำถามนี้ไว้แค่นี้เพราะว่าคุณคงจะไม่สามารถเข้าใจมันมากไปกว่านี้แล้ว พวกเราจะเสียเวลาอันมีค่าไปเปล่าๆ









คำถาม: ขออีกคำถามนึง ครั้งแรกที่เราพบกันเมื่อเดือนธันวาคน,คุณบอกว่าคุณไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์หรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แต่ว่าทำไมตอนนี้คุณถึงเล่าให้ฟังล่ะ? คำตอบ: ครั้งที่แล้วฉันเห็นว่ามันไม่จำเป็นและคงจะเป็นเรื่องที่หนักไปสำหรับคุณที่จะอธิบายถึงความจริงเหล่านั้น(และตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่หนักไปสำหรับคุณจริงๆ) ดังนั้นฉันจึงอยากที่จะแค่พูดถึงเรื่องเหล่านี้แค่ผิวเผินไม่เจาะลึกมาก และเป็นที่ปรากฏว่าสิ่งที่ฉันทำไปนั้นทำให้คุณคิดเกี่ยวกับโลกมากขึ้น, บางสิ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร และอีกเรื่องนึง,พวกนักวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก็มีแนวโน้มที่คิดว่าเรื่องที่ฉันพูดนั้นเป็นแค่ "เรื่องหลอกลวง[humbug]" ดังนั้นฉันจึงเห็นว่าไม่มีอันตรายอะไรถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ไม่มีใครใส่ใจกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก และก็,ผู้คนที่ขนานนามฉันว่าเป็นพวก"เผ่าพันธุ์ปีศาจ" นั้นพวกเขาก็มีพื้นฐานความเชื่อในเรื่องอำนาจลึกลับและเวทมนตร์คาถา-ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ ไม่มี จริง มันไม่มีเวทมนตร์,มันเป็นแค่วิทยาศาสตร์ขั้นสูง และทุกๆ สิ่งที่คุณขนานนามว่า "เวทมนตร์" ก็เป็นแค่ส่วนนึงของวิทยาศาสตร์ ถ้าคุณอยากเข้าใจเรื่องพวกนี้,คุณก็ควรจะพัฒนาวิทยาศาสตร์ให้ก้าวหน้ากว่านี้ ฉันขอพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไว้เพียงแค่นี้ กรุณาถามคำถามอื่นต่อเถอะ







คำถาม: ดี,ต่อไปพูดเกี่ยวกับเรื่อง UFOs แล้วกัน คุณอธิบายให้หน่อยได้มั้ยว่ารัฐบาลของพวกเราไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่อง UFO จนถึงจุดที่ว่ามีโปรเจคที่จะสร้าง UFO ขึ้นมาได้ยังไง? มันเกี่ยวกับเหตุการณ์ UFO ตกที่รอสเวล[Roswell]หรือเปล่า? คำตอบ: ใช่แล้ว แต่ว่าเหตุการณ์ UFO ตกในครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งแรก ฉันไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์,ฉันศึกษาแค่ความประพฤติของพวกคุณในขณะนี้,ดังนั้นความรู้ของฉันเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ในตามประวัติศาสตร์ของคุณแล้วจึงไม่รู้ชัดเท่าไหร่ ฉันจะบอกคุณตามที่ฉันรู้ก็แล้วกัน ขอเวลาฉันนึกสักหน่อย ตามช่วงปี 1946 ถึง 1953 ในเวลาของคุณ, มีห้าเหตุการณ์ที่ยานบินของพวกเอเลี่ยนตกมายังผิวโลก ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ UFO ตกที่รอสเวลด้วย, มันไม่ได้มีแค่ยานเอเลี่ยนลำเดียว,แต่มีสองลำที่ตกหลังจากการปะทะกันในที่ส่วนอื่นของดินแดนในตะวันตก-คือที่คุณเรียกว่าอเมริกา(คุณควรรู้ว่ายานบินของพวกเผ่าพันธุ์นี้ยังสามารถลอยตัวอยู่ได้ในอากาศเป็นระยะเวลาหนึ่งแม้ว่ายานจะเสียหาย;นั่นเลยทำให้มันตกคนละที่{กับที่ที่มันชนกันกับที่ที่ตก}) เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สองและสาม[เนื่องด้วยมี UFO สองลำที่ชนกันและตกลงมา] ลำอื่นนั้นตกมาในปี 1946[เหตุการณ์ที่รอสเวลเกิดปี 1947] แต่ว่ามันเสียหายจนไม่สามารถนำมาใช้งานได้







สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ก่อนที่จะอธิบายต่อ: มันคงดูเป็นเรื่องน่าขันสำหรับคุณที่ยานบินของพวกเอเลี่ยนที่เจริญมากๆ ตกลงมาได้,และดูเป็นจำนวนมากในเวลาสั้นๆ คำอธิบายในเรื่องนี้อาจฟังดูแปลกๆ แต่เป็นเรื่องจริง มันไม่เป็นเรื่องโกหกที่ยานบินมีตัวขับเคลื่อนในตัวมันเอง,แต่ว่ามันก็ยังอาศัยสนามแม่เหล็กโลกด้วย เผ่าพันธุ์นั้นที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่-และตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์นี้ใช้ยานที่รูปร่างเหมือนจานอยู่-ใช้ระบบขับเคลื่อนที่ขับเคลื่อนยานโดยใช้หลักการฟิวชั่นแต่แค่อย่างนั้นอย่างเดียวนั้นในชั่วเวลานั้นไม่เป็นไปตามวิธีการบินที่ต้องสอดคล้องกับสนามแม่เหล็กโลกเป็นอย่างมาก วิธีนี้มีข้อดีหลายอย่างแต่ก็มีข้อเสียด้วย สนามพลังที่ถูกขับออกมานั้นจะต้องสอดคล้องในมุมที่เหมาะสมกับผิวโลก เผ่าพันธุ์นี้ใช้เทคโนโลยีในการปรับเปลี่ยนสนามพลังที่ถูกขับออกมานี้,เป็นแบบล็อกค่าไว้เป็นค่าเดียวกันในทุกจุดของสนามแม่เหล็กโลก ตอนนั้นพวกเอเลี่ยนกลุ่มนี้พึ่งเข้ามายังโลกและดาวของพวกเขานั้นมีสนามแม่เหล็กที่คงที่,ซึ่งเป็นที่ที่เขาพัฒนาตัวขับดัน แต่สนามแม่เหล็กบนโลกนั้นไม่คงที่; มันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวัฏจักรและทำให้เกิดกระแสหมุนวน [eddy] ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่เหมาะสม เมื่อยานของพวกนี้เข้าไปในสนามแม่เหล็กที่แกว่งไปมา[fluctuation]หรือ หมุนวน [eddy] ที่แรงมาก, ทำให้สนามพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากยานไม่สามารถจะปรับเปลี่ยนตัวมันเองให้ถูกต้องในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และระบบนำร่องของยานไม่สามารถควบคุมเส้นทางการบินได้ ตัวขับเคลื่อนทำงานถูกต้องแน่ๆ แต่ว่าสนามแม่เหล็กโลกที่เปลี่ยนแปลง[fluctuate]ในทุกๆ ทิศทาง เพราะว่าเหตุผลเหล่านั้นทำให้ยานตกลงมา ในการตกเมื่อปี 1947 ตามตำแหน่งที่คุณเจอยานที่ตก,ในความเข้าใจของฉัน ยานลำนึงตกอยู่ในสนามแม่เหล็กที่ปั่นป่วน, มันเกิดขึ้นกับผู้นำฝูงบินและยานลำนั้นได้ชนกับลำอื่นทำให้ยานทั้งสองลำเสียหายมาก สาเหตุของการปั่นป่วนของสนามแม่เหล็กโลกครั้งนั้นบางทีอาจะเกิดจากการรบกวนทางไฟฟ้าที่มาจากสภาพอากาศ ท้ายสุดยานทั้งสองลำก็ตกลงมา;ยานลำนึงตกลงใกล้ๆ จุดที่ปะทะกัน ส่วนอีกลำตกห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ลูกเรือตายทั้งหมด โครงสร้างบางๆ ของยานไม่แข็งแรงมากนักเพราะว่าไม่ได้ถูกออกแบบมาเผื่อการตกและสำหรับการบินในสนามพลังที่สนามพลังภายนอกมีการเปลี่ยนแปลง









หลังจากนั้นพวกทหารของมนุษย์ก็ได้มาเก็บชึ้นส่วนยานจนกระทั่งพวกเขาพบยานทั้งลำที่มีศพลูกเรืออยู่ข้างใน ทันทีทันใดนั้นพวกเราก็ระบุว่าทุกๆสิ่งเป็น "ความลับสุดยอด" และนำซากเหล่านั้นไปที่ฐานทัพของพวกเขาเพื่อที่จะนำไปวิเคราะห์ตัวขับเคลื่อน ความพยายามอย่างลับๆ ที่จะเอาเทคโนโลยีของพวกเอเลี่ยนเพื่อที่จะนำไปใช้กับศัตรูของประเทศที่ยิ่งใหญ่นั้น มันเป็นเรื่องที่น่าขันสิ้นดี ฉันเชื่อว่าฉันจำได้ - ฉันไม่ต้องการที่จะระบุวันเวลาที่แน่นอนลงไป - ว่าในช่วงปี 1949 และ 1952 นั้นมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นระหว่างการวิจัยซากยาน ตามที่ฉันได้ยินมา -จากพวกเผ่าพันธุ์ของฉันที่สมาชิกของรัฐบาลนั้นเล่าให้ฟัง- มันเป็นผลมาจากไปกระตุ้นชิ้นส่วนของตัวขับเคลื่อนโดยไม่ได้ตั้งใจในสภาพที่ไม่มีอะไรป้องกัน[unshield]ตัวขับเคลื่อน ผลที่ตามมา ในช่วงเวลาสั้นๆ - ฉันจะใช้คำพูดอะไรดี - มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้เปลี่ยนแปลงระดับขึ้นเป็นสภาพที่เหมือนพลาสม่า,ซึ่งในอีกนัยหนึ่ง,ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ถือว่าโชคไม่ดีเอามากๆ,ทำให้เกิดการสร้างสนามพลังที่มากเกินไปในการสั่นสะเทือนทางแม่เหล็กของพลังที่มหาศาล คุณพอจะรู้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าสนามพลัง plasma-manatic เมื่อกระแทกเข้าใส่ร่ายกายสิ่งมีชีวิตแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คงไม่ มันจะทำให้เกิดการปั่นป่วนในโครงสร้างของสนามพลังและไฟฟ้าชีวภาพ[bioelectric] ลองจินตนาการดู,ถ้าคุณนึกออก,ร่างกายของมนุษย์ที่มีไฟลุกท่วมเป็นเวลา 3 หรือ 4 วัน เปลวไฟพวกนี้ไม่ดับและจะเผาพลาญจนกระทั่งองค์ประกอบสุดท้าย ตอนนี้คุณคงรู้บ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่ามีนักวิทยาศาสตร์ 20 หรือ 30 คนตายไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น









เหตุการณ์ UFO ตกอีกสองครั้งหลังเกิดขึ้นในปี 1950 และ 1953 ตกลงในส่วนที่เป็นที่กักน้ำของแผ่นดินอเมริกา ยานสามารถกู้ขึ้นมาได้ในสภาพที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ (ยานลำที่ตกในปี 1953,เท่าที่ฉันจำได้,แม้ว่าตัวขับเคลื่อนจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ในความหมายของคุณที่คุณเข้าใจว่าสิ่งนั้นเรียกว่าตัวขับเคลื่อน มันถูกสร้างมาด้วยแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องและคุณก็นำเอาไปเป็นแบบทำให้สร้างออกมาก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน จนกระทั่งบัดนี้มันก็ยังไม่ปรังปรุงให้มันถูกต้อง) เผ่าพันธุ์นั้น,ที่สร้างยานของเขาที่ดาวดาวของเขา - เผ่าพันธุ์ที่ฉันนับว่าพวกเขาไม่เป็นมิตรกับพวกคุณ - มีความกังวลเกี่ยวกับการที่พวกเราไปวิเคราะห์เทคโนโลยีของพวกเขา พวกเขาไม่อยากให้ทำ,อย่างไรก็ตาม,ก็ในช่วงแรก ทำให้พวกเขามีการติดต่อโดยตรงกับรัฐบาลประเทศนั้นในช่วง 1960 ตามเวลาของคุณ แน่นอนพวกเขาไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงว่าพวกเขามาทำไมที่โลกนี้ -ทองแดง, ไฮโดรเจน, อากาศ นี่เป็นสิ่งที่พวกนั้นต้องการ- แต่ว่าพวกก็แอบอ้างว่าเป็น "นักวิจัย[researchers]" ที่อยากรู้อยากเห็นและเสนอที่จะให้หลักการการทำงานของยานของพวกเค้าและคาดว่ามี "ความกรุณา" บางอย่างเป็นการตอบแทน ความคิดที่พื้นๆ ของคุณทำให้คุณตกลง...และมันเป็นการหลอกลวงของพวกนั้น คุณให้วัตถุดิบ, คุณให้สถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อให้พวกนั้นใช้เป็นที่อยู่, คุณให้พวกเขารู้ถึงข้อมูลเกี่ยวกับกำลังทางทหารที่เป็นความลับของพวกคุณ, คุณให้พวกเขารู้ถึง DNA ของพวกคุณและมากมายกว่านั้น-ทั้งหมดนั้นคุณทำไปเพื่อสนองความอยากของคุณที่จะได้มีกำลังทหารที่ยิ่งใหญ่และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า พวกเอเลี่ยนเหล่านั้นรู้ได้ทันทีว่าพวกเขากำลังติดต่อกับพวกสัตว์โลกที่มีความคิดพื้นๆ[หรือจะเรียกว่าโง่ก็ได้], พวกเขาให้ข้อมูลที่ผิดๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยีกับคุณดังนั้นพวกเขาจึงได้ประโยชน์มากกว่าพวกคุณ ยกตัวอย่างเช่น,พวกเขาให้ข้อมูลว่าตัวขับเคลื่อนนั้นสามารถสร้างโดยใช้ธาตุที่ไม่เสถียรที่มีเลขอะตอมสูงๆ ได้เพียงอย่างเดียว, แต่พวกเขาไม่บอกข้อมูลที่ว่าตัวขับเคลื่นสนามพลังนั้นต้องถูกสร้างด้วยการมีการดัดแปลงหลายอย่างถึงจะทำงานได้ดีด้วยธาตุที่เสถียรและมีเลขอะตอมน้อยกว่า,และต้องทำอย่างนี้มันถึงจะสมบูรณ์ ความจริงเพียงแค่ครึ่งนึงที่พวกเขาบอกไปนั้นทำให้คุณต้องใช้แต่ธาตุสังเคราะห์ที่{มีเลขอะตอม}สูง,และด้วยเหตุนั้นจึงต้องนำไปทำใหม่ด้วยเทคโนโลยีของพวกเขาเอง คำใบ้ของพวกเขาในการสร้าง "UFOs" ของพวกคุณวางอยู่ในแนวทางในการแก้ปัญหาเก่าๆ และก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆตามมา พวกเขาไม่เคยบอกความจริงทั้งหมด,แต่สร้างเรื่องโกหกที่แนบเนียนหลายต่อหลายครั้ง,ที่ทำให้เกิดปัญหาทางเทคนิก-และทำให้ต้องพึ่งพวกเขาตลอด









ในช่วงปลาย 1970 และต้น 1980 ของพวกคุณ เป็นครั้งสุดท้ายที่มีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นกับพวกเอเลี่ยนกับรัฐบาลมนุษย์พวกนั้น - ฉันไม่ต้องการพูดลึกลงไปในรายละเอียดเพราะว่ามีหลายเรื่องที่ฉันไม่รู้จริง เหตุการณ์มันเกิดมาจากปัญหาปัญหาทางเทคนิคใหม่,หรือจะพูดให้ดีกว่านั้น,เป็นปัญหาเก่าๆ[ของเอเลี่ยน]กับยานที่พวกคุณสร้างซึ่งการพรางตัวและการขับเคลื่อนบางส่วนไม่ทำงานในการทดลองบินกลางแจ้ง เพราะว่าเรื่องนั้นทำให้เรื่องที่เป็นความลับนี้ถูกเปิดเผย ทหารของพวกคุณและนักการเมืองของพวกคุณรู้สึกตัวได้ช้า-ช้ามากๆ-ว่าเป็นเวลากว่า 20 ปีมานี้พวกเขาถูกหลอกโดยมนุษย์ต่างดาวกลุ่มนี้ มีการไม่ลงรอยกันหลายอย่างและมีการก้าวล้ำขอบเขตข้อตกลงโดยทั้งสองฝ่ายท้ายสุดมันเป็นการนำไปสู่การทะเลาะกันระหว่างคุณกับพวกเอเลี่ยนจนกระทั่งถึงจุดที่แตกหักที่ว่ามีการทำลายยานของเอเลี่ยนสามลำโดยอาวุธพิเศษ-คุณเรียกมันว่าอะไร?- อาวุธที่ปล่อย EMP{คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า} และมีการโจมตีทางทหารที่ฐานใต้ดินแห่งหนึ่งของพวกเอเลี่ยน ผลที่ตามมาจากการโจมตีครั้งนี้,พวกเอเลี่ยนยกเลิกการติดต่อกับพวกคุณทั้งหมดและเข้าใจว่าโมโหพวกคุณมาก ดังนั้น,ฉันจึงนับว่าพวกเอเลี่ยนกลุ่มนี้ในสามกลุ่มเป็นศัตรูกับคุณ,และอีกสองกลุ่มที่เหลือก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง,และก็มีสงครามเย็นท่ามกลางพวกนี้ในการยึดโลกเป็นของพวกตัวเอง,"เพื่อน"เก่าของคุณกำลังเตรียมหาเสบียงให้พวกตัวเองโดยการยึดครองวัตถุดิบทั้งหมดและ DNA ของมนุษย์ไว้แต่เพียงกลุ่มเดียว ในตอนนี้มันอาจจะจริงที่ว่าพวกเขาขาดความเป็นไปได้ทางเทคนิกและกำลังทางทหารที่เยอะพอที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย แม้ว่าอย่างนั้น,พวกเราก็คาดว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น - เป็นไปได้ว่ามีการใช้เลห์เหลี่ยมมาก - ต่อพวกคุณในไม่กี่ปีหรืออีก 10 กว่าปีข้างหน้า







คำถาม: แล้วกลุ่มเอเลี่ยนกลุ่มอื่นๆ จะไม่ทำอะไรต่อเหตุการณ์ที่ดูเหมือนสงครามนี้เลยเหรอ?โดยเฉพาะ,บางสิ่งที่อาจจะเกิดบนโลกกับเผ่าพันธุ์ที่เจริญก้าวหน้ามาก คำตอบ: คุณเข้าใจผิดแล้ว,กับคำว่า โดยเฉพาะ,สำหรับคำว่าเผ่าพันธุ์ที่เจริญก้าวหน้ามาก นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมากในโชคชะตาของพวกคุณ คุณเหมือนกับสัตว์ในสายตาของพวกเขา สัตว์ในห้องวิจัยที่ใหญ่โต เพื่อให้เข้าใจมากกว่านี้,การที่มีเอเลี่ยนกลุ่มอื่นเข้ามายุ่งบนโลกใบนี้อาจจะรบกวนโปรเจคของพวกเขา,แต่ฉันก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะออกมาเผชิญหน้ากับกลุ่มที่มารบกวนหรอก พวกเค้าอาจจะออกไปหาดาวอื่นเพื่อทำการวิจัยหรือพวกเค้าอาจอยู่ศึกษาพฤติกรรมของคุณและ consciousness/awareness ของคุณเมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่สนใจสำหรับพวกเขาก็ได้ เหมือนอย่างที่เมื่อพวกคุณสังเกตรังมดอยู่,และก็มีคนอื่นเดินมาเหยียบรังมด คุณจะทำอะไรล่ะ? ทำตามวิธีของคุณ,หารังมดรังใหม่หรือสังเกตมดเมื่อมันอยู่สภาวะที่วิกฤต แต่พวกคุณนั้น - ถึงแม้ว่าจะมีกำลังมากกว่าคนที่เดินมาเหยียบรังมด - จะปกป้องมดที่ไม่มีค่าอะไรเหรอ? ไม่หรอก คุณลองจินตนาการตัวคุณเองในมุมมองของเผ่าพันธุ์ที่เจริญกว่า คุณก็เป็นเหมือนมด อย่าคาดว่าจะมีความช่วยเหลือจากพวกเขาเลย แน่นอนพวกเราก็คุณขอความช่วยเหลือด้วยเมื่อมันเป็นที่แน่ชัดว่าพวกเพื่อนเก่าๆของคุณรวมตัวกันเพื่อทำไม่ดีกับคุณ สมาชิกของรัฐบาลของมนุษย์บางคนรู้ว่ามีพวกเราอยู่จริง-บางคนก็ยังยึดติดกับพื้นฐานความเชื่อทางศาสนาแบบเก่าๆ ยกตัวอย่างเช่น มีสิ่งก่อสร้างใต้พื้นดินที่ใหญ่มากในเมืองหลวงบางแห่งที่เป็นของพวกเราและมีลิฟต์ที่จะใช้ติดต่อโดยตรงกับสิ่งก่อสร้างนี้และระบบใต้ดิน ในตึกนี้บางทีก็เป็นที่สำหรับประชุมระหว่างพวกเรากับมนุษย์ พวกเราได้ให้ข้อมูลกับคุณในช่วงหลายปีที่ผ่านมา;ในเรื่องที่เรารู้ ,พวกเราพยายามจะอยู่ห่างจากข้อขัดแย้งให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณควรเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองหรือว่าฉลาดขึ้นมากพอที่จะไม่สร้างสถานการณ์อย่างนี้อีก อะไรที่จะเกิดขึ้นและใครที่จะมาอยู่ข้างคุณนั้น,เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ ฉันไม่ต้องการที่จะพูดเรื่องนี้ไปมากกว่านี้แล้ว









คำถาม: ฉันมีรูป UFOs ที่แตกต่างกันอยู่ 5 รูป,ที่อ้างว่าเป็นรูป UFOs คุณช่วยดูรูปพวกนี้แล้วบอกหน่อยได้ไหมว่ารูปไหนเป็นของจริง? คำตอบ: ฉันจะลองดู คุณถามคำถามมากมายในวันนี้ที่ฉันไม่สามารถตอบได้กระจ่าง อย่าประเมินค่าฉันสูงเกินไป,ฉันไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยีของพวกเอเลี่ยนและโครงสร้างยานของพวกเอเลี่ยน ถ้าให้ถูกต้องแน่นอนต้องมีข้อมูลทางเทคนิคและคุณสมบัติของ "UFOs" ด้วย,มันจะทำให้ฉันสามารถจำแนกได้ว่าเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือว่ามนุษย์ทำขึ้นเอง คุณปลอมแปลงโดยอาศัยรูปแบบยานของจริง,ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแยกออก ฉันจะลองดู เอารูปมาให้ฉัน [คำอธิบายโดย Ole.K.:เธอพิจารณารูปโดยใช้เวลาแค่สองวินาทีและก็เรียงรูปที่ 1, 3 และ 5 ออกมา] สามรูปนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นของปลอมหรือเข้าใจผิด ในรูปแรก,สำหรับฉันภาพยานที่ดูเหมือนของจริงนี้เป็นแค่โมเดลเล็กๆ มันขาดลักษณะเฉพาะที่สำคัญทางเทคนิค-และทางฟิสิกส์-ที่เกี่ยวข้องกับสนามพลัง พูดให้ง่ายรูปนี้เป็นของปลอม เค้าโครงยานและสีของมันที่มองเห็นได้ชัด,เพราะว่ายานที่ลอยอยู่นั้นปกติแล้วจะซ่อนอยู่ในสภาวะที่สนามพลังยกตัวขึ้น[shifted-field condition] นั่นจะทำให้สีมันผิดเพี้ยนไปหรือหว่ารูปร่างผิดเพื้ยนไป มันอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่รูปที่ดูคลุมเคลือไม่ค่อยชัดและมีการยกระดับของแสงสเปกตัม[spectrally-shifted คงจะหมายความว่า รูป ufo ที่มีแสงเรืองออกมา] บางครั้งก็ระบุได้ว่าเป็นของจริง และอีกอย่าง,วัตถุนี้ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ถ้านี่เป็นของจริง,เราก็น่าจะเห็นน้ำบุ่มลงไปเป็นแอ่งหรือว่ามีคลื่นเกิดขึ้น แต่ว่าผิวน้ำมันเรียบ,มันจึงไม่ใช่ยานของจริง ในความคิดของฉันทั้งสามรูปนี้ไม่ใช่วัตถุที่บินได้ของจริงหรือ UFOs อย่างในรูปนี้ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นวัตถุ มันดูเหมือนการหักเหของแสงในกล้องมากกว่า คุณควรจะฉลาดมากพอที่จะไม่หลงเชื่อภาพที่สร้างขึ้นมา พวกผู้คนของพวกคุณตามล่าของปลอมที่โดนหลอกเป็นเวลานาน,มันก็คงสายไปมากที่จะค้นพบว่าที่แท้จริงแล้วอะไรที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า







รูปที่ 2:Albiosc, France, 1974























รูปนี้ดูเหมือนว่าเป็นของจริง เพราะว่ามันเห็นลักษณะที่สำคัญของยาน ฉันมองก็รู้แล้วว่าเป็นยานของพวกเอเลี่ยนที่มาโลกนี้เมื่อ 35 ปีก่อน สีของยานเหมือนโลหะและมีรูปร่างคล้ายจาน;แน่นอนว่ารูปที่เห็นนั้นทั้งรูปร่างและสีของยานถูกบิดเบือนเนื่องด้วยได้รับผลกระทบจากสนามพลังงานที่ยานปล่อยออกมา แสงสี่ขาวสี่ลำยาวๆ นี้เกิดจาก "กระบวนการ" ที่เกิดด้านใต้ยานเพื่อสร้างแสงจำลองแรงโน้มถ่วง [quasi-gravitational], มันทำให้สนามพลังงานของจักรวาลขยับ[shift] ขึ้นไปในทิศทางที่ก่อให้เกิดแรงโน้มถ่วง จริงๆ แล้วแสงนี่ก็ไม่ใช่แสงจริงๆหรอก(แสงที่เห็นส่องสว่างจาก "UFOs" นั้นโดยมากไม่ใช่แสงจริงๆ) แต่ว่ามันเกิดจากการสนามพลังที่มีพลังงานอัดแน่นอยู่เยอะมากซึ่งเมื่อมองจากอากาศแล้วจะเห็นว่ามันดูคล้ายแสง[quasi-light] ฉันยังไม่เข้าใจในเรื่องของระบบพลังงานสูงพิเศษในบรรยากาศนี้นักหรอก มันเป็นไปได้ว่ามันเป็นมีอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมด้วย อีกอย่างนึงมันแย่มากที่พวกนี้ไม่มีความระวังทำให้ถูกมนุษย์ถ่ายภาพได้ เอาล่ะ ฉันคิดว่าที่ฉันพูดว่าเนี่ยพวกของคุณคงไม่ค่อยเข้าใจกันหรอก,และพวกที่เข้าใจคงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับให้สาธารณะชนรู้หรอก











รูปที่ 4:Petit Rechain, Belgium, 1990























นี่เป็นวัตถุที่บินได้ของจริง;แต่มันไม่มีทางเป็นของพวกเอเลี่ยนหรอก รูปทรงสามเหลี่ยมแบบนี้ไม่มีเอเลี่ยนเผ่าไหนใช้ รูปร่างเพลียวลมแบบนี้น่าจะเป็นความคิดของมนุษย์ มันเป็นของกองทัพของพวกคุณซึ่งเป็นโครงการลับที่สร้างมันขึ้นมาโดยอาศัยเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวที่ยังไม่สมบูรณ์-เทคโนโลยีที่มนุษย์ต่างดาวโละทิ้งให้คุณเมื่อระหว่างปี 1960 และ 1970 โดยปกติแล้วรูปร่างของยานของพวกเอเลี่ยนนั้นไม่ค่อยมีผลอะไรเท่าไหร่,เพราะว่าเมื่อมันอยู่ในสนามพลังที่สร้างขึ้นมาแล้วแรงจากภายนอกจะไม่มีผลอะไรเลย รูปร่างยานโดยปกติจะทำให้รูปร่างเป็นวงกลมและจะไม่มีขอบ-เหมือนอย่างจานหรือทรงกระบอก-เพื่อให้สนามพลังสามารถไหลผ่านได้ง่าย โครงการของพวกคุณนั้นใช้สนามพลังขับเคลื่อนของเอเลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงใช้รูปทรงสามเหลี่ยมและสร้างให้เพรียวลมในการกำหนดทิศทางบิน[steerable]ด้วยหลักการ recoil ในตัวอย่างนี้ยานบินจะลอยตัวด้วยตัวขับสนามพลังงาน คุณเห็นการบิดเบือนและแสงเทียม[quasi-light] ในกระบอกที่หมุนอยู่มั้ย? มันเป็นตัวที่ชี้ชัดว่าภาพนี้เป็นของจริง แต่ทำไม,คุณอาจจะถามว่า,ทำไมมี 4 อัน? มันผิดปกติ-แม้แต่ระยะห่างแต่ละอัน[interval]ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ สีมืดมากและการบิดเบือนที่เกิดขึ้นภายในก็ยังสังเกตเห็นได้ชัด น่าจะเป็นไปได้ที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมโดยนักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณ เพราะว่าพวกเอเลี่ยนไม่ได้ให้ข้อมูลคุณอีกเลยหลังจากไม่ลงรอยกัน,พวกเขาสร้างระบบมาใหม่โดยพวกเขาเองและโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันอันตรายขนาดไหน การปรับปรุงไม่ได้ทำให้ระบบดีขึ้นแต่จะทำให้แย่ลงด้วยซ้ำ วัตถุทรงกระบอก[cylinder] สองอันข้างหน้านั้นอยู่ใกล้กันเกินไปสนามพลังที่เกิดจะไหลไปยังอีกตัวนึงได้ สีที่เห็นบอกได้ว่ามีการแผ่รังสีออกมาเยอะมาก มันเป็นไปได้ว่าเกิดจากการใช้ธาตุที่มีเลขอะตอมสูง มันเป็นอันตรายต่อพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่มีอะไรป้องกันมาก คนที่ถ่ายภาพนี้แสดงอาการการบาดเจ็บจากการรับรังสีหรือเปล่า?

















คำถาม: ฉันไม่รู้ "UFOs" ของพวกทหารนี้มาจากไหน?จากอเมริกาหรือเปล่า? คำตอบ: ใช่ ฉันคิดว่ามันใช่ มาจากแผ่นดินทางตะวันตก คำถาม: ทำไมพวกเขาถึงมาบินเหนือพื้นที่ที่มีคนหนาแน่นของยุโรปล่ะ?รูปนี้มาจากเบลเยียม มันดูไม่มีความหมายอะไรเลย คุณช่วยอธิบายอะไรได้มั้ย? คำตอบ: ฉันก็ได้แต่พูดว่า ทำไม เหมือนกับกับพฤติกรรมแปลกๆของมนุษย์ มันเป็นไปได้ว่ามันเป็นการทดสอบระยะทางไกลหรือเป็นการทดสอบระบบการพรางตัวแม่เหล็กไฟฟ้า ประเทศที่เป็นศัตรูของอเมริกามาแต่ก่อนอยู่อีกฟากของโลก,ดังนั้นทำไมพวกเขาถึงมาทดสอบที่นี่ล่ะ? ที่ประเทศพวกเขาพวกเขาอาจจะมีเวลาเพียงพอที่จะขับยานของพวกเขาไปและกลับ หรือบางทีพวกเขาอาจสนใจที่จะมาสังเกตบริเวณนี้ ด้วยโครงสร้างของตัวสร้างสนามพลังที่ไม่เสถียร-ตามที่รูปนี้ระบุ-ฉันพิจารณาว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ยานลำนี้จะบินข้ามทะเลมาถึงที่นี่ มันเป็นไปได้ว่ามีสถานีที่ใช้ทดสอบอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ โชคไม่ดี ที่ฉันไม่รู้อะไรเลย







คำถาม: มีผู้อ่านจำนวนมากที่อ่านบทสัมภาษณ์ครั้งแรกแล้วได้ถามคำถามว่ามาคุณเริ่มมีการติดต่อกับ E.F. ได้อย่างไร ฉันรู้แล้วจากที่คุณเล่าให้ฟังแต่คุณเล่าอีกครั้งได้ไหมสำหรับเพื่อเอาลงบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ คำตอบ: ได้ เอาล่ะ เริ่มมันเริ่มต้นประมาณสองปีก่อนตามเวลาของคุณที่สวีเดน ฉันมีความสนใจเผ่าพันธุ์ของคุณและพฤติกรรมของพวกคุณมากตั้งแต่ฉันยังเด็ก;ฉันได้ศึกษาวรรณคดีของพวกคุณในเวลานั้น,ตามที่ฉันมีโอกาส(โดยปกติแล้ว,ที่บ้านเกิดของฉันมันไม่ง่ายที่จะมีหนังสือของมนุษย์ไว้ครอบครอง,แต่เพราะว่ากลุ่มหรือครอบครัวของฉันเป็นกลุ่มที่อยู่ระดับสูง ฉันจึงสามารถเก็บได้และบางครั้งก็ได้พูดคุยกับพูดคุยกับคนอื่นๆที่ได้มีการติดต่อกับพวกคุณ) ฉันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพวกของคุณและทันทีที่ฉันได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนผิวโลกได้ ฉันก็ได้มาเก็บข้อมูลทันที;เหนือสิ่งอื่นใด มันมีข้อห้ามไม่ให้ติดต่อโดยตรงกับมนุษย์เพราะว่าพวกเรานั้นในเวลานั้น,ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น ในปี 1998 ของพวกคุณ ที่ทางเหนือห่างจากที่นี่ไปไกลในป่าอันไกลพ้นฉันเดินอยู่ใกล้ๆ ทางเข้าไปยังโลกของฉันและกำลังหาตัวอย่างทางชีวภาพ ที่พวกเราใช้ในการสังเกตมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมและสถิติข้อมูลพวกพืช[flora] และสัตว์[fauna] ที่ถูกทำลายโดยมนุษย์ ในตอนนั้นฉันกำลังเดินกลับไปยังทางเข้า-พวกเราสามารถหาทิศทางได้ง่าย โดยการสัมผัสถึงสนามแม่เหล็กโลก-และตอนนั้นอยู่ใกล้กับทะเลสาปที่กว้างแล้ว ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เห็นกระท่อมอยู่ในป่า ในกระท่อมหลังนี้ฉันรู้สึกถึง consciousness/awareness ของมนุษย์ เค้าคือ E.F. จริงๆ แล้วฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับเผ่าพันธุ์อื่น แต่ฉันเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ฉันเข้าไปที่นั่นโดยใช้วิธีการพรางตัว-แม้แต่อยู่ในกลุ่มพวกคุณก็ทำได้(ฉันไม่เคยเดินผ่านกลุ่มพวกมนุษย์เมื่อฉันอยู่คนเดียว) ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เลยทำให้ฉันอยากที่จะคุยกับคนที่อยู่ในกระท่อมหลังนั้นดังนั้นฉันก็เลยเดินไปเคาะประตู E.F. ก็เปิดประตูออกมาและพวกเราก็ได้มีการพูดคุยที่น่าสนใจ ภาษาของเขายังไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับฉันในตอนนั้นแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเรียนรู้ภาษาใหม่ถ้าคนนั้นสามารถอ่านข้อมูลใน consciousness/awareness ของอีกฝ่าย ฉันบอกเขาว่าฉันมาจากประเทศอื่นทางตะวันออก ในตอนนั้นเขาไม่ได้ "ตระหนัก" เลยว่าฉันเป็นใคร เขาเชื่อว่าคนที่เขาพูดด้วยนั้นเป็นสิ่งมันชีวิตที่เป็นพวกเดียวกับเขา แต่ที่จริงมันเป็นแค่ภาพหลอกตา







เพราะว่าภาระกิจของฉันต้องยืดระยะเวลาออกไปฉันก็ได้เอาเวลาที่ยืดออกไปนี้ไปหาเขาอีกเป็นเวลาตามครั้งในแบบรูปร่างของมนุษย์ ในตอนแรกพวกเราคุยกันในเรื่องพื้นๆทั่วๆไป; หลังจากนั้นพวกเราก็ลงลึกไปในเรื่องศาสนาและเรื่องทางฟิสิกส์ เขาดูท่าทางจะประทับใจในความรู้ของฉัน,และฉันก็ประทับใจในความคิดที่กระจ่างของเขาและ-เมื่อเทียบอย่างมนุษย์-โครงสร้างทางบุคลิกทางร่างกายที่ดูดีและความคิดเห็นของเขา คุณมักจะให้ความคิดเห็นหรือเงี่อนไขของคนหมู่มากเข้ามาครอบงำคุณ ตัวอย่างเช่น "เผ่าพันธุ์มนุษย์เลื้อยคลานเป็นพวกปีศาจ" และอะไรอื่นๆที่คล้ายๆอย่างนี้ ฉันนำการสนทนาไปในทางนี้และ E.F. บอกว่าเขาเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงและพวกนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นปีศาจ แต่บางทีเป็นเพราะว่าความแตกต่างทางร่างกายทำให้คนเค้าคิดกันอย่างนั้น คำตอบนี้ทำให้ฉันพอใจมาก ในช่วงเวลานั้นฉันไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับความรู้ของฉันเพราะว่าเขาคงจะไม่เชื่อฉัน-เขาคงมองฉันเหมือนตัวตลก ฉันมีความคิดที่ไม่ปกติเอามากๆ (สำหรับความคิดของฉัน)ในการที่จะเผยร่างจริงของฉันให้เขาเห็น ฉันได้ทำในระหว่างการสนทนาครั้งที่สี่ที่กระท่อมหลังนั้น จริงๆ แล้วเขาได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วสำหรับการติดต่อ:เขาเป็นคนที่ความคิดเปิดกว้าง, ซื่อสัตย์, ฉลาด, ไม่มีความโน้มเอียงทางศาสนาหรือจากเงื่อนไขต่างๆ ,เขาอยู่คนเดียวและอยู่ห่างไกล, และคงไม่มีใครที่เชื่อเขาเมื่อเขาเอาเรื่องนี้ไปพูด ฉันเลยกล้าที่จะทำแต่นั่นก็ทำให้ฉันสงสัยกับความเหมาะสมของสิ่งที่ฉันทำไป,โดยเฉพาะเมื่อเขามีปฏิกริยาตอบกลับที่รุนแรงมากๆ เขาต้องใช้เวลาควบคุมตัวเองซักพักพวกเขาถึงจะสามารถพูดคุยกันได้ ตอนนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อฉัน นี่จึงเป็นการเริ่มต้นของการพูดคุยกันครั้งต่อๆมาที่ตอนแรกคุยกันในป่านั้นแต่ตอนหลังไปคุยกันที่อื่น สุดท้ายเขาได้นำคุณมาติดต่อกับฉันและนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเรามานั่งคุยกันอยู่ตอนนี้และคุยกันในเรื่องไม่น่าเชื่อในสังคมมนุษย์







คำถาม: คุณบอกว่าคุณไม่ได้รับอนุญาตในเวลานั้นในการติดต่อกับพวกมนุษย์ แล้วในตอนนี้คุณได้รับอนุญาตให้คุยกับ E.F. และฉันเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้และแม้แต่นำออกไปเผยแพร่ในทางวิทยาศาสตร์? คำตอบ: ใช่มันเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้คุณเข้าใจ เอาอย่างนี้ฉันอยู่ในตำแหน่งที่จะกำหนดข้ออนุญาตโดยไม่ต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา ในตำแหน่งนี้ฉันเป็นกึ่งๆ "ได้รับการยกเว้น" ต่อข้อบังคับ เข้าใจในทางนี้ก็แล้วกันนะ คำถาม: ถ้าคนอื่นๆต้องการที่ติดต่อกับพวกของคุณ พวกเขามีโอกาสที่จะทำได้หรือเปล่า? คำตอบ: โดยปกติแล้วจะไม่ พวกเราหลีกเลี่ยงการติดต่อกับพวกคุณและพวกเราจะปฏิบัติการบนพื้นโลกในที่ที่ห่างไกลเท่านั้นและพวกเราจะใช้วิธีการพรางตัวในกรณีที่พวกเราต้องติดต่อกับมนุษย์ ที่ฉันคุยกับคุณได้ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ จะได้ทำตามอย่าง ดูท่าแล้วคุณพยายามที่จะหาทางเข้าไปยังโลกของฉันและชักนำเรื่องไปทางนั้น อย่างไรก็ตามมันจะนำไปยังเหตุการณ์ที่มีคนแอบลอบเข้าไปซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจ คุณไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าตำแหน่งทางลงอยู่ตรงไหน และแม้แต่จะติดต่อกับพวกเราโดยตรง,พวกเราจะเป็นฝ่ายติดต่อกับคุณ เหมือนกับที่ฉันทำกับ E.F. รูปแบบการติดต่อนี้ไม่ได้ถูกกำหนดเอาไว้แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้น้อยมาก







คำถาม: คุณสามารถอธิบายเกี่ยวกับสถานที่เกิดของคุณที่อยู่ใต้พื้นดินได้ไหม? คำตอบ: ฉันสามารถบอกได้แต่ฉันจะไม่บอกว่าสถานที่ลงไปนั้นอยู่ที่ไหน สถานที่เกิดของฉันนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกจากที่นี่เป็นที่อยู่เล็กๆ ฉันจะให้ตัวเลขบางอย่างที่จะทำให้คุณประทับใจมากขึ้น ขอเวลาคิดสักหน่อย..ฉันต้องพยายามที่จะเปลี่ยนมาตราวัดไปยังหน่วยของคุณ มันเป็นถ้ำที่มีรูปร่างเหมือนโดมที่อยู่ลึกลงไปประมาณ 4300 เมตรจากผิวโลก ถ้ำนี้ถูกใช้เป็นโคโลนีตั้งแต่ 3000 ปี มาแล้ว โครงสร้างของเพดานโดยหลักนั้นจะเป็นหินสังเคราะห์ที่มีการทำรูปร่างให้มีสัดส่วนที่สวยงามและตรงส่วนหลังคาโดมจะเรียบโดยมีพื้นออกแบบเป็นรูปไข่ เส้นผ่าศูนย์กลางของโดมตามหน่วยวัดของคุณจะประมาณ สองกิโลเมตรครึ่ง ความสูงของหลังคาโดมนั้นจุดที่สูงที่สุดจะประมาณ 220 เมตร ของใต้จุดที่สูงที่สุดในทุกๆ โคโลนี่จะมีสิ่งก่อสร้างทรงกระบอกสีเทาค่อนข้างขาวซึ่งเป็นสิ่งพิเศษตั้งอยู่-เป็นเสาที่คอยค้ำโครงสร้างรังผึ้งของโดม สิ่งก่อสร้างนี้จะสูงที่สุด, กว้างใหญ่ที่สุดและ เก่าแก่ที่สุดในสิ่งก่อสร้างทั้งหมดในโดมเพราะว่าเป็นสิ่งแรกที่สร้างเพื่อที่จะรับน้ำหนักของหลังคา(มันก็มีบางเวลาที่ซ่อมแซมปรับปรุงเสานี้) สิ่งก่อสร้างนี้มีชื่อที่พิเศษมากและมีนัยสำคัญทางศาสนา พวกเรามีแค่อันเดียว โคโลนีที่ใหญ่กว่านี้ก็จะมีเสานี้มากตามไปด้วยตามโครงสร้างของเพดาน มีโคโลนีหลักที่นึงอยู่ข้างในทวีปเอเชียมีเสาอยู่ 9 ต้นแต่ว่าโคโลนีนั้นมีขนาดแค่ 25 กิโลเมตรในหน่วยของคุณ ตึกที่เป็นศูนย์กลางก็จะเป็นศูนย์กลางของศาสนา,และศูนย์กลางในการควบคุมสภาพอากาศ,และศูนย์กลางของพฤติกรรมและการควบคุมระบบแสงสว่าง ที่ที่เราอยู่มีจุดที่สร้างแสงเทียมอยู่ 5 จุดที่สร้างแสง UV และสร้างความอบอุ่นโดยใช้แหล่งที่มาจากแรงดึงดูด ท่อระบายอากาศและระบบแสงจากผิวโลกจะวิ่งผ่านเสาเหล่านี้ และเสาพวกนี้นั้นจะมีการควบคุมแน่นหนามาก









เรามีท่อระบายอากาศอยู่ 3 ท่อ และมีระบบลิฟต์อยู่ 2 ที่และยังมีอุโมงค์ที่จะเชื่อมต่อกับโคโลนีหลักที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 500 กิโลเมตรไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีลิฟต์อยู่ตัวนึงที่เชื่อมไปยังถ้ำใกล้ผิวโลก,ส่วนอีกอันเชื่อมไปยังสถานียาน-อย่างที่คุณรู้, ยานรูปร่างทรงกระบอก- ที่นั่นถูกซ่อนอยู่ใกล้กับผิวหน้าของภูเขาหิน โดยปกติแล้วมันมียานอยู่สามลำ มันเป็นสถานียานเล็กๆ สิ่งก่อสร้างอื่นของโคโลนี่,โดยมากแล้ว,จะเรียงเป็นวงกลมมีจุดศูนย์กลางร่วมกันคือเสาหลัก, และตึกพวกนี้จะต้องต่ำกว่าด้วย โดยปกติจะมีความสูงระหว่าง 3 ถึง 20 เมตร รูปทรงของสิ่งก่อสร้างนั้นเป็นทรงกลมและมีรูปร่างเหมือนโดม สีก็จะแตกต่างกันไปตามวงกลมและระยะห่างจากเสาหลัก ทางเหนือของเสาเป็นตึกที่ใหญ่แต่เป็นทรงกลมราบ ตึกเหล่านี้ขัดกับระบบใช้ศูนย์กลางร่วม[concentric] ของโคโลนีด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางของมันประมาณ 250 เมตร มันเป็นแหล่งดวงอาทิตย์สังเคราะห์ที่มีบ้านที่มีห้องและระเบียงส่องสว่าง สถานที่เหล่านี้มีจะแสง UV ที่แรงมากและพวกมันจะใช้ในการทำให้เลือดเราอุ่นขึ้น และยังใช้เป็นสถานที่รักษาทางแพทย์และห้องประชุมจะอยู่ตรงนี้ด้วย นอกออกไปจากเขตรอบนอกของโคโลนีก็จะเป็นเขตสำหรับเก็บสัตว์เอาไว้-คุณก็รู้,พวกเรา ต้อง กินเนื้อสด- และเป็นสวนสำหรับปลูกพืชและเห็ดสำหรับเอาไว้กิน มันยังมีน้ำใต้ดินที่ร้อนและเย็นไหลอยู่ด้วย สถานีพลังงานอยู่ที่ขอบของโคโลนี สถานีนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานฟิวชั่นและจ่ายพลังงานไปทั่วโคโลนีและ "ดวงอาทิตย์"[สาเหตุที่ไม่เรียกไฟฟ้าเพราะว่าเค้าอาจใช้พลังงานอื่นก็ได้] กลุ่มของฉันหรือ "ครอบครัว" อาศัยอยู่ในวงที่สี่ที่นับออกจากเสาหลัก เรามีเวลาน้อย การที่จะอธิบายถึงสิ่งก่อสร้างทั้งหมดและหน้าที่ของมันคงใช้เวลาเยอะมาก มันเป็นการยากที่จะอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้คุณเข้าใจ เพราะว่ามันมีการแตกต่างกันมากในรูปแบบและวัฒนธรรมของพวกคุณที่คุ้นเคยอยู่บนผิวโลก คุณต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองถึงจะเชื่อมัน







คำถาม: ฉันจะได้เห็นมันมั้ย? คำตอบ: ใครจะไปรู้ล่ะ,บางที เวลาอาจะนำโอกาสใหม่ๆ มาให้ คำถาม: พวกคุณอยู่กันเท่าไหร่ในโคโลนีนี้ คำตอบ: ประมาณ 900 คำถาม: นี่เป็นการจบการสัมภาษณ์ครั้งนี้ คุณมีคำพูดไปยังผู้อ่านบทสัมภาษณ์นี้หรือไม่? คำตอบ: ใช่ ฉันประหลาดใจกับคอมเม้นที่ส่งมา ฉันรู้สึกผิดหวังเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาที่วาดภาพฉันเป็นเหมือนศัตรูซึ่งมันเป็นเสียงที่ยังดังก้องอยู่และมันอยู่ลึกๆภายในใจของคุณ คุณควรจะเรียนรู้ที่จะแยกออกจากเงื่อนไขเก่าๆ และไม่ควรอยู่ประหนึ่งว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของบางสิ่งหรือบางคนผู้ซึ่งจากไปเป็นเวลา 5000 ปีแล้ว พวกคุณทั้งหมดนั้นเป็นจิตวิญญาณอิสระ นี่เป็นคำพูดสุดท้ายของฉัน







แหล่งข้อมูล

____________________________________



http://www.bibliotecapleyades.net/vi...a_alien_52.htm



แปลโดย

___________________________________



zipper พลังจิต-คำแปลบทสัมภาษณ์-Lacerta



Share this article :

0 ความคิดเห็น:

Speak up your mind

Tell us what you're thinking... !

 
Original Design by Creating Website Modified by Adiknya