ประชากรกว่า 2,000 คนถูกจานบินไม่ปรากฏสัญชาติโจมตีด้วยอาวุธลำแสงทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 80 คน ในจำนวนนี้กว่า 40 คนถูกหามส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตลง 2 คน ส่งผลให้รัฐบาลต้องส่งเครื่องบินรบออกตามล่า
เหตุการณ์ประหลาดนี้เริ่มขึ้นในต้นเดือนสิงหาคม 1977 บนเกาะโคลาเรส ตั้งอยู่บริเวณดินดอนปากแม่น้ำอะเมซอน เขตรัฐปารา ประเทศบราซิล วัตถุบินลึกลับปรากฏตัวเหนือท้องฟ้า มันส่องลำแสงกวาดไปยังประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
มาโนเอล โจว ชาวประมงวัย 44 ปี พร้อมกับลูกเรือเดินทางไปหาดริโอ โนโว เพื่อนำเรือออกหาปลา แต่ยังไม่ทันที่จะไปถึงเรือประมงพวกเขาก็เห็นวัตถุบางอย่างรูปร่างเหมือนร่ม ลอยอยู่ราว 4 เมตรเหนือพื้นดิน ก่อนที่จะบินหายไปอย่างรวดเร็วโดปราศจากเสียงเครื่องยนต์
คืนต่อมา ซาคาริอัส โดสซานโตส บาราต้า วัย 74 ปี เห็นลูกไฟลูกใหญ่ลอยขึ้นมาจากอ่าวมาราโฮ ก่อนที่มันจะพุ่งหายไปทางใจกลางเมืองโคลาเรส คืนต่อมาเขาก็เห็นมันอีกครั้ง แสงสว่างของลูกไฟ**censor**ส่องจนสามารถมองเห็นต้นไม้ทุกต้นท่ามกลางความมืด
จานบินโจมตี
เกาะโคลาเรสมีประชากรอาศัยอยู่ราว 2,000 คน ตลอดระยะเวลานานหลายเดือนพวกเขาล้วนได้เห็นวัตถุบินได้ลึกลับปรากฏตัวขึ้นเวลาที่แตกต่างกัน ในรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกัน บางคนโชคดีกว่านั้น ได้สัมผัสกับลำแสงประหลาดที่**censor**ส่องลูบไล้ทั่วเรือนร่าง
กลางดึกคืนหนึ่ง คาร์ลอส คาร์โดโซ ดี พอล่า ช่างตัดผมวัย 49 ปี นอนสูบบุหรี่ในเปลญวนในห้องโถงขณะที่ภรรยาและลูกๆต่างเข้านอนกันหมดแล้ว ทันใดนั้นก็เห็นวัตถุบินลึกลับบินวนรอบๆบ้านโดยส่องไฟทะลุผ่านหน้าต่างเข้าเหมือนกับกำลังสำรวจหาอะไรสักอย่าง
แสงไฟสัมผัสปลายเท้าด้านขวาของคาร์ลอสแล้วค่อยเลื่อนขึ้นมาที่หัวเข่า จากนั้นมันก็เลื่อนไปที่ปลายเท้าด้านซ้าย คาร์ลอสกล่าวว่ารู้สึกเหมือนลำแสงนั้นพยายามคลำหาเส้นเลือดที่ขา เขาเริ่มรู้สึกอ่อนเปลี้ย หมดแรงแม้แค่จะคีบบุหรี่เอาไว้ ทันใดนั้นบุหรี่ก็หลุดจากมือทำให้คาร์ลอสได้สติ เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือลั่นบ้านทำให้วัตถุบินลึกลับรีบหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านอีกหลายคนอ้างว่าถูกโจมตีด้วยลำแสงจากวัตถุบินลึกลับคล้ายๆกับกรณีของคาร์ลอส บางคนมีอาการเจ็บป่วยหลังจากสัมผัสกับลำแสงประหลาด บางคนมีรอยไหม้ ผิวหนังบวมพอง ขณะที่บางคนมีรูเล็กๆปรากฏบนผิวหนัง หลายคนเชื่อว่าวัตถุบินลึกลับใช้ลำแสงดูดเลือดพวกเขาไป พวกเขาจึงเรียกวัตถุบินลึกลับนี้ว่า “ชูปา-ชูบา” (ตัวดูดเลือด)
ป่วยโรคประหลาด
เหตุการณ์ประหลาดนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านบนเกาะโคลาเรส ผู้หญิงและเด็กอพยพออกจากหมู่บ้านไปอาศัยญาติพี่น้องในท้องที่อื่น ส่วนคนที่ไม่มีที่จะไปก็ขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านหลังตะวันตกดินและให้พวกผู้ชายจัดเวรยามเฝ้าระวังหมู่บ้าน ตีเกราะเคาะไม้ยิงปืนเพื่อขับไล่วัตถุบินลึกลับตลอดทั้งคืน
คนไข้จำนวนมากที่เจ็บป่วยหลังจากสัมผัสกับลำแสงประหลาดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์หญิงเวลเลียด ซีซิม คาร์วาลโฮ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลคนไข้กลุ่มนี้เป็นกรณีพิเศษ เดือนพฤศจิกายน 1977 มีผู้ป่วยจำนวนมากกว่า 40 คนขอเข้ารับการรักษา
เวลเลียดเก็บข้อมูลอาการ สรุปได้ว่าคนไข้มีอาการร่างกายสูญเสียความอบอุ่น ปวดศีรษะอย่างแรง วิงเวียนศีรษะ ตัวสั่น อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ผิวหนังฟกช้ำ บางคนแผลเป็นรอยไหม้บนผิวหนัง บางคนมีอาการผมร่วงคล้ายกับสัมผัสกับกัมมันตรังสี
คนไข้ให้ข้อมูลเหมือนกันว่าขณะที่สัมผัสกับลำแสงประหลาด พวกเขารู้สึกร้อนวาบบนผิวหนัง ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้คล้ายกับมีของหนักๆมากดทับเอาไว้ พวกเขาพยายามส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่กลับไม่มีเสียงเปล่งออกจากลำคอ
เวลเลียดไม่สามารถอธิบายสาเหตุของอาการเหล่านี้ได้ แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายป่วยไปเองภายใน 7 วัน แต่ก็มี 2 รายที่เสียชีวิตลง เวลเลียดสารภาพว่าเธอก็เคยเห็นวัตถุบินลึกลับกับตาตัวเองครั้งหนึ่งแต่โชคดีที่ไม่ถูกมันยิงด้วยลำแสงเหมือนกับคนไข้ของเธอ
ไม่มีในตำรา
เวลเลียดยอมรับว่าในตอนแรกเธอเองก็ไม่เชื่อเรื่องเล่าจากปากคนไข้ แต่หลังจากที่จำนวนคนไข้เพิ่มปริมาณขึ้นจนผิดสังเกตเธอจึงทุ่มเวลาวินิจฉัยอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนพบว่ารอยไหม้บนผิวหนังคนไข้แตกต่างจากแผลไฟไหม้ทั่วๆไป มันมีลักษณะใกล้เคียงกับแผลพุพองจากการสัมผัสกับรังสีโคบอลต์
แผลพุพองเหล่านี้ในระยะแรกจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง หลังจากนั้นจะเริ่มแห้งตกสะเก็ดและผิวหนังหลุดลอกในที่สุด เธอพบว่าบนบาดแผลมีรูเล็กๆคล้ายรอยโดนเข็มจิ้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของคนไข้หญิงคนหนึ่งที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพราะมีอาการคล้ายโรคหัวใจ หายใจถี่ วิงเวียนศีรษะ
เวลเลียดตรวจร่างกายคนไข้ พบว่าเธอมีรูแผลประหลาด 2 รูบนหน้าอกข้างซ้าย แต่เนื่องจากคนไข้รายอื่นๆก็มีอาการคล้ายๆกันนี้ เวลเลียดจึงให้การรักษาเบื้องต้นและบอกให้คนไข้กลับบ้านได้
ราวเวลา 15.00 น. เวลเลียดได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าคนไข้คนดังกล่าวมีการทรุดลง นอนทุรนทุรายเหมือนขาดอากาศหายใจ แต่ไม่มีไข้ เวลเลียดให้ญาตินำคนไข้มายังโรงพยาบาลอีกครั้ง หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงคนไข้ก็สิ้นใจ แพทย์ลงความเห็นว่าเธอเสียชีวิตเพราะหัวใจวายทั้งๆที่คนไข้ไม่เคยมีประวัติการเป็นโรคหัวใจมากก่อน
ไล่ล่าจานบิน
หลังจากที่มีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับและปริมาณผู้ป่วยจากลำแสงประหลาดจำนวนมาก รัฐบาลบราซิลตัดสินใจมอบหมายให้กองทัพอากาศทำหน้าที่สืบสวนเหตุการณ์ประหลาดนี้ภายใต้ปฏิบัติการพิเศษชื่อว่า Operation Saucer หรือปฏิบัติการจาน (บิน)
กองทัพอากาศส่งเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนบริเวณเกาะโคลาเรส ปฏิบัติการนี้ช่วยให้ชาวบ้านรู้สึกอุ่นใจขึ้น คลายความหวาดกลัวลงไปบ้าง แต่ดูเหมือนวัตถุบินลึกลับจะไม่ได้กลัวเกรงเครื่องบินรบของกองทัพอากาศ มันยังคงปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีการเผชิญหน้ากัน เครื่องบินกองทัพอากาศกลับถูกลำแสงสว่างจ้าจากวัตถุบินลึกลับส่องเข้าใส่จนต้องร่อนลงฉุกเฉิน ตลอดระยะเวลาตามล่าเป็นเวลาหลายเดือนกองทัพอากาศสามารถถ่ายภาพนิ่งวัตถุบินลึกลับนี้ได้หลายร้อยภาพและภาพยนตร์อีก 4 ม้วน
นาวาเอกเอรางเก้ ฮอลลันด้า ทำหน้าที่ผู้บัญชาการปฎิบัติการครั้งนี้ เอรางเก้ทำงานร่วมกับทีมวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ติดตั้งกล้องถ่ายภาพ กล้องถ่ายภาพยนตร์บริเวณริมชายหาดบนเกาะคาโลเรส
นาวาเอกเอรางเก้ ฮอลลันด้า
วันที่ 1 พฤศจิกายน 1977 กองทัพอากาศติดตั้งศูนย์เฝ้าระวังวัตถุบินลึกลับบนหอคอยถังเก็บน้ำ เอรางเก้เล่าว่าเขาเห็นวัตถุบินลึกลับหลายลำปรากฏตัวบนเนินทรายริมชายหาด บ้างก็เปล่งแสงสีแดงบ้างก็สีเหลือง ห่างออกไปราว 100 เมตรมียานบินลำใหญ่ที่เอรางเก้เชื่อว่าเป็นยานแม่
เรื่องไม่ควรรู้
แต่แล้วจู่ๆในเดือนธันวาคม 1977 รัฐบาลบราซิลก็มีคำสั่งยกเลิกปฏิบัติการจาน(บิน)ลงกลางคันโดยไม่ให้เหตุผล ทั้งๆที่ยังมีรายงานการพบเห็นวัตถุบินลึกลับอยู่อย่างต่อเนื่อง ทางด้านเอรางเก้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน บอกเล่าถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เขาพบเห็นในช่วงควบคุมปฏิบัติการครั้งนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน ลูกสาวเอรางเก้พบว่าเขาได้ใช้เชือกรัดคอตาย เสียชีวิตบนเตียงภายในบ้านอย่างมีเงื่อนงำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในเวลาต่อมาแพทย์หญิงเวลเลียดให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่ารัฐบาลบราซิลพยายามห้ามปรามไม่ให้เธอเปิดเผยข้อมูลการรักษาคนไข้ที่เจ็บป่วยจากการถูกลำแสงประหลาด
รัฐบาลบราซิลปฏิเสธว่ามีหลักฐานภาพถ่ายและภาพยนตร์จากปฏิบัติการจาน(บิน)ตามที่เอรางเก้กล่าวอ้าง เรื่องราวของวัตถุบินลึกลับที่เกาะโคลาเรสจึงมีแค่เพียงคำบอกเล่าของพยานที่เห็นเหตุการณ์และมันยังคงเป็นเรื่องปริศนาอยู่ตราบจนทุกวันนี้
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 393 วันที่ 5-11 มกราคม พ.ศ. 2555 หน้า 50 คอลัมน์ ร้ายสาระ โดย ศิลป์ อิศเรศ
____________________
เครดิต : tongmen_261- http://www.mythland.org/v3/frame.php?frameon=yes&referer=http%3A//www.mythland.org/v3/thread-4869-1-1.html
________________________________
อ้างอิง :
________________________________
0 ความคิดเห็น:
Speak up your mind
Tell us what you're thinking... !