Headlines News :
Home » , » ปริศนา ลูกหินยักษ์ คอสตาริกา (Costa Rica)

ปริศนา ลูกหินยักษ์ คอสตาริกา (Costa Rica)

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556 | 06:04









อีกหนึ่งในวัตถุปริศนาที่มีอยู่บนโลกใบนี้ คงจะขาดลูกหินยักษ์จากประเทศคอสตาริกาไปไม่ได้ครับ โดยลูกหินยักษ์ที่ว่านี้ค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1940 ครับ



 จากการพัฒนาพื้นที่เพื่อปลูกธัญพืชของ บริษัทยูในเต็ด ฟรุท (United Fruit Company) ที่ทางใต้ของคอสตาริกา เป็นจำนวนหลายร้อยลูกด้วยกัน มีลักษณะเป็นก้อนหินทรงกลมเกลี้ยง









ขนาดตั้งแต่ลูกเทนนิสไม่กี่สิบเซนติเมตรไปจนถึงขนาดสองเมตร น้ำหนักกว่าสิบตันเลยทีเดียวครับ โดยกระจัดกระจายกันเป็นกลุ่ม อยู่ทั่วบริเวณที่มีการค้นพบ








นอกจากนั้นยังพบเศษซากเครื่องปั้นดินเผาด้วยเช่นกันครับ บ่งบอกให้รู้ว่า ณ ที่แห่งนั้นยังเคยมีอารยธรรมเจริญอยู่มาก่อนหน้ามนุษย์ยุคปัจจุบันเสียอีกครับ



เจ้าลูกหินเหล่านี้นั้นจากการตรวจสอบอายุแล้ว ได้มีการประมาณกันว่ามันถูกสร้างขึ้นเมื่อ 600-1,000 ปีก่อนคริสตกาล ยาวนานใช่เล่นเลยทีเดียว



และส่วนประกอบทางธรณีวิทยาส่วนใหญ่นั้นเป็นหินจำพวก แกรโนไดโอไรท์ (Granodiorite)

หรือก็คือหินที่เกิดการหลอมเหลวจากความร้อนแล้วตกผลึก มีส่วนประกอบของธาตุแคลเซี่ยมและโซเดียมอยู่มากเป็นพิเศษ และถูกสร้างขึ้นด้วยศิลปะวิชาการ และความรู้อันน่าทึ่งของชนเผ่าโบราณในอดีต










แม้ที่มาที่ไป ยังทิ้งเป็นปริศนาเอาไว้อย่างเดิม แต่โดยการคาดการณ์ของกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว พวกเขาฟันธง โช๊ะ...!!!ว่ากันว่าเป็นหินที่ถูกมนุษย์ต่างดาวทำขึ้นทำขึ้น

อาจต้องการเล่าเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลนี้ก็เป็นได้??





บางทฤษฎีกล่าวเอาไว้ว่า เจ้าลูกหินยักษ์เหล่านั้นอาจจะอยู่ในช่วงที่กำลังถูกขนย้ายเพื่อนำเอาไปประดับไว้ยังสถานที่ใดสักแห่งหนึ่ง โดยอาจจะเป็นเทวสถานหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าที่สร้างมันขึ้นมาก็เป็นได้



แต่อาจมีความจำเป็นที่จะต้องทิ้งมันเอาไว้กลางคัน เพราะเนื่องจากว่าบริเวณที่ค้นพบบรรดาเหล่าลูกหินนี้นั้น ไม่มีร่องรอยของเทวสถานหรือสถานที่สำคัญที่จะจำเป็นต้องมีเครื่องประดับอยู่เลย



จะมีก็เพียงร่องรอยเศษซากอารยธรรมที่ยังคงหลงเหลืออยู่เพื่อบอกให้รู้ว่าครั้งหนึ่งนั้น

เคยมีชนเผ่าทรงปัญญาอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น และก็อาจจะมีเหตุผลบางประการที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นทิ้งวัตถุเหล่านี้เอาไว้ และอพยพไป เฉกเช่นชาวมายาที่อพยพทิ้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยไป

ทิ้งให้เหลือแต่ซากวัตถุแห่งความเจริญทางด้านความรู้อยู่ก็เป็นได้ครับ



แต่บางทฤษฎีก็ว่าพวกลูกหินเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งดิน เพื่อให้ผลิตผลอุดมสมบูรณ์ ก็ว่ากันไปครับ

















บางลูกไดถูกนำมาตั้งโชว์หน้าอาคาร ที่ขนาดมีน้ำหนักประมาณ 16 ตัน







นอกจากนี้หินแปลกๆเหล่านี้ยังถูกค้นพบในสถานที่ในหลายๆแห่ง อย่างเช่นบนเกาะอีสเตอร์






 บางลูกนี่ใหญ่กว่าคนอีกครับ



















ถึงแม้จะมีการค้นพบผ่านมาแล้วหลายสิบทศวรรษด้วยกัน ผ่านการตรวจสอบจากนักวิชาการทั้งท้องถิ่นและต่างประเทศมาก็ไม่น้อย



แต่เจ้าลูกหินยักษ์เหล่านี้เพิ่งจะมาโด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกนั้น ก็เมื่อครั้งที่ถูกนำไปเขียนกล่าวถึงในหนังสือสะท้านโลกเล่มหนึ่ง ที่พลิกมุมมองบรรดาเรื่องศาสนาแหละอารยธรรมยุคเก่าแก่ต่างๆ ให้มีเรื่องของมนุษย์ต่างดาวเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือก็คือเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศอันโด่งดังนั่นเอง









หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า “Chariots of The Gods” ของ อีริค วอน ดานิเก้น (Erik Von Daniken) ที่ออกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1968 ฮิตซะจนมีการนำไปตีพิมพ์เกือบยี่สิบภาษา ขายกันได้หลายล้านเล่มทั่วโลก



ปัจจุบันก็ยังคงมีการตีพิมพ์ขายอยู่ครับ นอกจาก ดานิเก้นแล้ว ก็มีผู้แต่งอีกหลายท่านที่ให้ความสนใจและนำไปกล่าวถึงจากหนังสือของตัวเอง อีกหลายเล่มหลายผู้แต่งด้วยกันครับ



สำหรับเรื่องราวของเจ้าลูกหินยักษ์เหล่านี้ แม้กระทั่งในปัจจุบัน ก็ยังคงมีกลุ่มนักวิจัย นักวิชาการที่ยังให้ความสนใจ และทำการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อคลายปริศนาและรู้ถึงความเป็นมาของเหล่าลูกหินยักษ์นี้อย่างไม่ลดละ เพื่อตอบคำถามที่ว่า ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา และสร้างมันขึ้นมาเพื่ออะไรนั่นเองครับ












ก้อนนี้อยู่ที่ บอสเนีย ที่ๆอยู่ใกล้หุบเขาปิรามิดเชื่อกันว่ามีอายุนับพันปี

























หินกลุ่มนี้เรียกว่าBoulders Moerakiในชายหาดประเทศนิวซีแลนด์



















หินแต่ละลูกจะมีลวดลายรูปภาพแปลกๆ



บางรูปจะเป็นภาพคล้ายใบหน้าของคน ของแมลง ฯลฯ ให้นักธรณีแกะรอยความเป็นมาอย่างไร

แต่จนที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าภาพเหล่านี้ว่าผู้ทำขึ้นต้องการสื่อถึงอะไร










นักรบโบราณ










ใบหน้ารูปร่างหมอผี







นี่ไม่รู้รูปอะไร






???????









































เทพเจ้าอะไรสักอย่างแน่ๆ































ที่มา :  ped2011 http://board.palungjit.com

http://www.clipmass.com/story/36952



____________________


เครดิต :


________________________________




อ้างอิง :


________________________________




Share this article :

0 ความคิดเห็น:

Speak up your mind

Tell us what you're thinking... !

 
Original Design by Creating Website Modified by Adiknya